เอ็นไอเอ จับมือ ส.อ.ท. เปิดตัว 11 ดีพเทคสตาร์ทอัพ

เอ็นไอเอ ส.อ.ท.
เอ็นไอเอ จับมือ ส.อ.ท. เปิดตัว 11 ดีพเทคสตาร์ทอัพ


เอ็นไอเอ ร่วมกับ ส.อ.ท. และเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาคอุตสาหกรรม การศึกษา และนักลงทุน เปิดตัว 11 ดีพเทคสตาร์ทอัพ ขยายโอกาสเติบโตสู่ภูมิภาค เปิดรับพันธมิตรภาคอุตฯ ร่วมจับคู่ทดสอบการใช้งาน

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาคอุตสาหกรรม การศึกษา และนักลงทุน จัดงานเปิดตัว 11 ดีพเทคสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการ “ส่งเสริมสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกสู่การขยายตลาด หรือ FTI DeepTech Startup Connext 2024” โดยเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการพัฒนาโซลูชั่นเพื่อแก้ปัญหาให้ภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งเปิดรับพันธมิตรสำหรับการเชื่อมโยงธุรกิจและร่วมทดสอบการใช้งานผลิตภัณฑ์หรือบริการร่วมกับภาคอุตสาหกรรม

ดร. กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า NIA เห็นความสำคัญของการพัฒนาดีพเทคสตาร์ทอัพ ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกที่มีความซับซ้อนบนพื้นฐานการวิจัยขั้นสูง สามารถช่วยสร้างให้เกิดตลาดใหม่ โดยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นส่วนใหญ่จะถูกปกป้องด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่ยากต่อการลอกเลียนแบบ จึงสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันหรือเป็นอุปสรรคต่อคู่แข่งได้ ซึ่ง NIA ได้รับการสนับสนุนการดำเนินงานจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาสตาร์ทอัพกลุ่มนี้ให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น และสร้างให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

จัดเป็นปีที่ 2:โครงการส่งเสริมสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกสู่การขยายตลาด

“NIA จึงได้ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดำเนิน ‘โครงการส่งเสริมสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกสู่การขยายตลาด’ ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อเฟ้นหาและคัดเลือกสตาร์ทอัพที่มีความสามารถพร้อมแก้ปัญหาให้กับภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีเซ็นเซอร์และอินเทอร์เน็ตสำหรับสรรพสิ่ง เทคโนโลยีหุ่นยนต์และโดรน วัสดุใหม่และนาโนเทคโนโลยี และเทคโนโลยีชีวภาพ โดยมุ่งสร้างโอกาสการจับคู่และร่วมมือทางธุรกิจกับภาคอุตสาหกรรมของไทยให้เกิดการทดสอบใช้งานเป็นต้นแบบระดับภาคอุตสาหกรรม ผลการดำเนินงานปีที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายให้กับสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการมากกว่า 300 ล้านบาท  

ช่วยเชื่อมโยงระหว่างสตาร์ทอัพกับสมาชิก ... กว่า 11,000 ราย

นายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม กล่าวว่า “สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มีนโยบายขับเคลื่อนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทย จึงร่วมมือกับ NIA สร้างสะพานเชื่อมระหว่างสตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกให้มีช่องทางขยายการใช้งานสู่ภาคอุตสาหกรรมที่เป็นสมาชิก ส.อ.ท. มากกว่า 11,000 ราย และภาคธุรกิจอื่นๆ

ทั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) สมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท วาย แอนด์ อาร์เชอร์ จำกัด ประเทศเกาหลี และบริษัทสมาชิกจากสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม ส.อ.ท. ที่ร่วมกันเฟ้นหา คัดเลือก และพัฒนาศักยภาพให้คำแนะนำกับสตาร์ทอัพให้สามารถปรับกลยุทธ์ด้านการสร้างตลาด การเตรียมข้อมูลเสนอลูกค้า การเจรจาต่อรอง รวมถึงเทคนิคการทดสอบการใช้งานลูกค้า อีกทั้งแหล่งเงินทุนสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ

สตาร์ทอัพที่ใช้เทคโนโลยีเชิงลึกจำนวน 11 รายที่ได้รับการคัดเลือก

การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารและโรงงาน ได้แก่  

1) AltoTech Global: แพลตฟอร์มวิเคราะห์ ตรวจสอบ และจัดการการใช้พลังงานภายในอาคารด้วย AIoT 2) Green EMS: ระบบบริหารจัดการพลังงานสีเขียว ด้วยการจัดการพลังงานแบบกระจายศูนย์ในโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ 3) Thilium: ฉนวนและสีทาอาคารประหยัดพลังงานด้วยซิลิกาแอโรเจล

ระบบบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ได้แก่ 4) iCube: แพลตฟอร์มการบริหารจัดการวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างโมเดลในการพยากรณ์ข้อมูลต่างๆ ในโรงงานอุตสาหกรรมด้วย Generative AI

ระบบบำรุงรักษาเครื่องจักรเชิงคาดการณ์เพื่อลดความเสียหายของเครื่องจักร ได้แก่ 5) Cleantech & Beyond: ฉลากอัจฉริยะสำหรับการตรวจสอบความร้อนของเครื่องจักรในงานบำรุงรักษาเชิงป้องกันด้วย Digital Temperature Indicator  6) Zycoda: ระบบบริหารจัดการงานซ่อมบำรุงแบบครบวงจรด้วย anomaly detection algorithm AI และ ML

ระบบบำบัดน้ำเสียประสิทธิภาพสูง ได้แก่ 7) Wonder Bubble: ระบบบำบัดน้ำเสียใช้เทคโนโลยีชีวภาพร่วมกับการใช้ Micro-nano bubble ช่วยลดการใช้พลังงาน ช่วยลดกลิ่นเหม็น ช่วยย่อยสลายตะกอนและไขมัน การเปลี่ยนกลิ่นเป็นดิจิทัลที่ตรวจวัดได้ ได้แก่ 8) ENVI SENSE: สถานีตรวจวัดกลิ่นและคุณภาพอากาศแบบออนไลน์ และบริการตรวจวัดกลิ่นรบกวน

การเพิ่มประสิทธิภาพงานทรัพยากรบุคคลและการทำงาน 9) Job Solution: ระบบสัมภาษณ์งานออนไลน์และประเมินสมรรถนะของผู้สมัครงานด้วยเทคโนโลยี AI 10) Dynamic Intelligence Asia: ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าและสามารถจำแนกเอกลักษณ์ของมนุษย์แต่ละบุคคลได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการรักษาความปลอดภัย

สารเติมแต่งคุณภาพสูง ได้แก่ 11) Ecoguard plus: ระบบอนุภาคนาโนกักเก็บสารเอทิลลออยล์อาร์จิเนตเป็นสารกันเสียทางเลือกใหม่ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอาง เพื่อขยายการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของสตาร์ทอัพไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ส.อ.ท. รายงานการผลิตรถยนต์เดือน ก.ค. ลดลง 16.62 %