กรมบัญชีกลาง สั่งเร่งจัดซื้อจัดจ้างโค้งสุดท้าย ดันเบิกจ่ายปีงบประมาณปี 67

กรมบัญชีกลาง
แพตริเซีย มงคลวนิช


“กรมบัญชีกลาง” สั่งเร่งจัดซื้อจัดจ้างโค้งสุดท้าย หวังดัน เบิกจ่ายปีงบประมาณปี 2567 ได้ตามเป้าหมาย เผยภาพรวมถึงเดือนสิงหาคม เบิกจ่ายแล้ว 78.86%

  • ภาพรวมถึงเดือนสิงหาคม
  • เบิกจ่ายแล้ว 78.86%

นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดเป้าหมายการเบิกจ่าย งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 โดยภาพรวมเบิกจ่ายไม่น้อยกว่า 93% รายจ่ายประจำเบิกจ่ายไม่น้อยกว่า 98% รายจ่ายลงทุนเบิกจ่ายไม่น้อยกว่า 75% และการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายภาพรวม รายจ่ายประจำ และรายจ่ายลงทุน 100%

โดย ได้มีการติดตามเร่งรัดการจัดซื้อจัดจ้าง พร้อม ทั้งได้มอบหมายให้คณะทำงานเฉพาะกิจในการติดตามเร่งรัดการ เบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567

ในส่วนกลางและสำนักงานคลังจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด เร่งรัดและสนับสนุน การดำเนินงาน รวมทั้งให้คำแนะนำหน่วยรับงบประมาณทุกแห่ง ให้สามารถดำเนินการเบิกจ่ายได้ตามแผนการใช้จ่ายเงิน

โดยตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ 9 ส.ค.2567 หน่วยรับงบประมาณต่างๆ มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเพิ่มขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง โดยภาพรวมเบิกจ่ายแล้ว 2.738 ล้านล้านบาท คิดเป็น 78.68% ของวงเงินงบประมาณ 3.48 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นรายจ่ายประจำเบิกจ่ายแล้ว 2.413 ล้านล้านบาท คิดเป็น 87.51% ของวงเงินรายจ่ายประจำ 2.757 ล้านล้านบาท

รายจ่ายลงทุนเบิกจ่าย แล้ว 3.24 แสนล้านบาท คิดเป็น 44.96% ของวงเงินรายจ่ายลงทุน 7.22 แสนล้านบาท และมีการก่อหนี้แล้วจำนวน 4.87 ล้านล้านบาท คิดเป็น 67.44%

“ในช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ประมาณเดือนเศษ เพื่อเป็นการกระตุ้นหน่วยรับงบประมาณ กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือแจ้งเวียนให้หน่วยงานเร่งรัดการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการโดยเร็ว รวมทั้งให้เร่งรัดการตรวจรับงานสำหรับโครงการที่ผู้รับจ้างส่งมอบงานแล้ว และเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในเดือนก.ย.” นางแพตริเซียกล่าว

สำหรับกรณีที่ดำเนินการก่อหนี้ครบทุกโครงการ/รายการ และหรือดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายผลผลิตที่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณแล้ว มีเงินงบประมาณเหลือจ่ายจากการใช้วงเงินได้ต่ำกว่าวงเงินที่ได้รับจัดสรรและยังมีความจำเป็นต้อง ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณเหลือจ่ายดังกล่าว

และขอให้เร่งรัดการโอนเปลี่ยนแปลงรายการเพื่อไปดำเนินโครงการ/รายการที่มีความจำเป็น ดังกล่าว โดยปฏิบัติตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเร่งดำเนินการก่อหนี้และเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ

  • ขอปชช.เชื่อมั่นรัฐบาลใหม่

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ให้สัมภาษณ์กรณีที่ประชาชนบางส่วนกำลังขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาลว่า สิ่งหนึ่งที่ตนคิดว่าสามารถเรียกความเชื่อมั่นได้คือ สภาผู้แทนราษฎรใช้เวลาเพียงแค่ 2 วันในการเลือกนายกฯ คนใหม่

ทุกอย่างดำเนินการได้อย่างไร้รอยต่อภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ไม่มีอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดสุญญากาศ เชื่อว่าหลังจากได้รัฐบาล คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย ฉะนั้นขอให้ประชาชนเชื่อมั่น และเห็นได้ว่าในวันที่โหวตนายกฯ จากเดิมพรรคร่วมรัฐบาลมี 314 เสียง แต่การโหวตในครั้งนี้ได้ 319 เสียง เพราะมีคนเห็นว่าประเทศชาติต้องไปต่อ ต้องเดินหน้าต่อ เขาก็โหวตให้

ส่วนการประชุม กมธ.วิสามัญพิจารณางบประมาณ ตอนนี้เดินหน้าไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการพิจารณางบรอบนี้ ัััได้รับความร่วมมือจากทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล รวมถึงหน่วยงานที่มาชี้แจง และเป็นไปตามกรอบการพิจารณา โดยวันที่ 26 ส.ค.ตามกำหนด จะเป็นการประชุมครั้งสุดท้าย จากนั้นคาดว่าวันที่ 4-5 ก.ย. เรื่องจะเข้าสู่ที่ประชุมสภาในวาระ 2-3

  • เอสเอ็มอีฝาก 6 โจทย์ครม.ใหม่

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยว่า การเข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ประเทศไทยของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถือว่ามีความเหมาะสม เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ ความสามารถ มีความทันสมัย

มีประสบการณ์มาจากภาคเศรษฐกิจที่เป็นผู้ประกอบการ ทุกภาคส่วนควรเคารพกติกา ให้เกียรติซึ่งกันและกันบนพื้นฐานที่มาถูกต้องตามกฎหมายของรัฐธรรมนูญ ปัญหาเร่งด่วนของไทยคือ ผลักดันเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น แข่งขันได้ในระดับอาเซียนและระดับโลก

นายแสงชัยกล่าวว่า เอสเอ็มอีขอฝากโจทย์ใหญ่ 6 เรื่อง คือ

1.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นที่คำนึงถึงฐานราก เพิ่มรายได้ผู้ประกอบการรายย่อย วิสาหกิจชุมชนและเกษตรกร ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

2.มาตรการลดต้นทุน ภาระค่าครองชีพของประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและภาคแรงงาน อาทิ ปรับโครงสร้างพลังงาน น้ำมัน ไฟฟ้าอย่างจริงจังเร่งด่วน

  • ลดหนี้นอกระบบ

นายแสงชัยกล่าวว่า 3. มาตรการเพิ่มการเข้าถึงแหล่งทุน ต้นทุนต่ำและการแก้ไขหนี้ทั้งระบบอย่างเป็นระบบ เพิ่มคุณภาพหนี้ครัวเรือน ลดหนี้นอกระบบ อัตราดอกเบี้ยนโยบายและดอกเบี้ยรายย่อยที่เป็นธรรม

4. มาตรการยกระดับขีดความสามารถกำลังคนในประเทศ ผู้ประกอบการ แรงงานและเกษตรกรให้มีผลิตภาพ ศักยภาพด้วยการพัฒนาทักษะดิจิทัลเทคโนโลยี ความสร้างสรรค์ และนวัตกรรมเพิ่มขึ้นสามารถแข่งขันได้

นายแสงชัย กล่าวว่า 5. มาตรการแก้ไขปัญหากฎหมาย กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคกับการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการที่ต้องจัดลำดับความสำคัญและหน่วยงานเจ้าภาพที่ชัดเจนพร้อมสร้างการมีส่วนร่วมกับภาคเอกชน

6. มาตรการปกป้องเศรษฐกิจไทย จากทุนข้ามชาติที่ต้องทบทวนยุทธศาสตร์สร้างสมดุลเศรษฐกิจให้รองรับการเปลี่ยนแปลง ไม่เป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจต่างชาติ จนผู้ประกอบการถูกกลืนกินพึ่งพาตนเองไม่ได้

หลังจากนี้อยากให้ น.ส.แพทองธารคัดสรรแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีพร้อมทำงานเป็นทีม มีความเป็นผู้นำ มีคุณธรรมที่น่าเชื่อถือไว้วางใจของประชาชนเข้ามาร่วมทีมบริหารประเทศไปข้างหน้า และอยากให้ทุกภาคส่วน ควรเปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีและ ครม.ชุดใหม่ ได้ทำงานก่อนเพื่อพิสูจน์ฝีมือ

ช่วยกันทำงานขับเคลื่อนนโยบายที่ตอบโจทย์ประชาชนในทุกระดับ

นอกจากนี้ อยากให้รัฐบาลชุดใหม่ ทบทวน ถอดบทเรียนการทำงานในอดีตอย่างเป็นกลาง การวางแผน แก้ไขปรับปรุง และเริ่มทำสิ่งใหม่ที่ดีขึ้น รอบคอบมากขึ้น

คำนึงถึงส่วนรวม และยึดแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นต้นแบบในการออกแบบนโยบาย มาตรการ ดำเนินการตามแนวทางที่สร้างสรรค์ถูกต้องเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย รับฟังเสียงประชาชนอย่างรอบด้านทุกภาคส่วน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดของประเทศชาติอย่างแท้จริง

  • เร่งหาทีมศก.ที่เก่ง

ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) เปิดเผยว่า มีความท้าทาย น.ส.แพทองธาร อยู่ไม่น้อยและจะต้องก้าวผ่านอุปสรรคไปให้ได้ ทั้งการถูกจับตามองเรื่องของอายุที่ยังน้อย การส่งต่อหน้าที่ผ่านภายในครอบครัว

และการเข้ามารับตำแหน่งต่อจากนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ท่ามกลางความกดดัน และความคาดหวัง รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจในประเทศ และโลกที่อยู่ในภาวะซึมและถดถอย ความเชื่อมั่นใน ผู้ลดลงและกำลังซื้อที่อ่อนแอ

นายธนิตกล่าวว่า ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ทางการเมืองไทยที่ไม่นิ่ง จึงสร้างความไม่มั่นใจให้กับต่างชาติ ดังนั้น ในมุมมองของตน น.ส.แพทองธาร จะต้องหาทีมคณะรัฐมนตรีที่เก่ง และเป็นกลุ่มคนที่มีแนวทางการทำงานที่ทันสมัย และพร้อมแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ที่เป็นปัญหาหลัก และต้องแก้ให้ตรงจุด

โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นกระทรวงที่สำคัญมาก เนื่องจากเป็นกระทรวง ที่คุมการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งสมาชิก ในทีมกระทรวงการคลังจะต้องไม่ใช้คนรุ่นเก่าที่อายุงานหมดอายุ อยากให้เปิดใจรับบุคลากร ที่มีแนวคิดเปิดใจกับยุคสมัยใหม่

และเป็นมืออาชีพทางด้านเศรษฐกิจ ทั้งการค้าและการส่งออก ที่พูดชื่อแล้วประชาชนให้ความสนใจ โดยส่วนตัวตนมองว่า การจะหานักธุรกิจที่เก่งเข้ามาในวงการบริหารบ้านเมืองจะยากมากขึ้น

ดังนั้น จึงอยากให้ น.ส.แพทองธาร คัดบุคลากรที่เหมาะสมและมีความเป็นมืออาชีพมากพอที่จะเข้ามาทำงานตรงนี้ได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ข้าราชการยิ้ม กรมบัญชีกลาง เตรียมจ่ายค่า เบี้ยหวัดบำนาญ 24 พ.ค.นี้

: เว็บรัฐบาลไทย