กทม. ยิ้ม ร้านอาหารร่วม “ไม่เทรวม” แยกเศษอาหารวันละ40 ตัน

กทม. ยิ้ม ร้านอาหารร่วม “ไม่เทรวม”
กทม. ยิ้ม ร้านอาหารร่วม “ไม่เทรวม”


กทม. ยิ้มแก้มปริ ร้านอาหาร 1,059 แห่ง ร่วม “ไม่เทรวม” แยกเศษอาหารได้วันละ 40 ตัน บทพิสูจน์ “ขยะทุกชิ้นมีทางไป หากจัดการอย่างถูกวิธี”

  • บทพิสูจน์ ขยะทุกชิ้นมีทางไป
  • หากจัดการอย่างถูกวิธี

วันที่ 25 พ.ค.2567 นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร (Chief Sustainability Officer) เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้มีร้านอาหารในกรุงเทพฯ ทั้งหมด 1,059 แห่ง (เฉพาะร้านเดี่ยว ไม่รวมที่อยู่ในห้าง) ที่ร่วมโครงการ “ไม่เทรวม”

และ รวมกันแล้วสามารถแยกขยะเศษอาหารได้ วันละ 39,581 กิโลกรัม (หรือวันละเกือบ 40 ตัน) ที่ผ่านมาจะเป็นแหล่งกำเนิดใหญ่ๆ ที่ทำเรื่องคัดแยกขยะได้ดี แต่ข้อมูลนี้พบว่าร้านอาหารเล็กๆน้อยๆ ก็ร่วมกันทำให้สามารถแยกและลดขยะไปกำจัดได้อย่างมาก

ในภาพรวมสามารถแยกเศษอาหารได้แล้ว วันละ 277 ตัน หรือ รวมทั้งหมด 8,587 ตัน เฉพาะในเดือนเมษายน ซึ่งเกินกว่าเป้าปี 2567 ที่ตั้งไว้ที่วันละ 200 ตัน สำหรับร้านอาหาร 1,059 แห่งนี้ สามารถแบ่งวิธีการจัดการเศษอาหารได้ด้วย

เช่น สำนักงานเขตจัดเก็บและนำไปใช้ประโยชน์ (ทำปุ๋ย/น้ำหมัก/ส่งเกษตรกร) 23.6% สำนักงานเขตประสานเกษตรกรมารับตรงที่ร้าน 76% ร้านทำปุ๋ยหมักเอง 0.4%

นายพรพรหม กล่าวว่า วันนี้ขยะทุกชิ้นมีทางไปแล้วถ้าสามารถจัดการอย่างถูกวิธี เห็นได้ชัดว่าเมื่อร้านอาหารเหล่านี้แยกเศษอาหาร ซึ่งถือเป็นการคัดแยกขยะที่ยากที่สุดแล้ว ขยะที่เหลือที่เป็นขยะแห้งส่วนมากจะขายได้ โดยประสานให้ร้านที่รู้จักกับผู้รับซื้อที่ซึ่งเป็นเครือข่ายกับ กทม. มารับซื้อไป

กทม. ยิ้ม ร้านอาหารร่วม “ไม่เทรวม”
กทม. ยิ้ม ร้านอาหารร่วม “ไม่เทรวม”

เพื่อเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และปัจจุบันยังมาภาคีอีกหลายรายที่พร้อมรับขยะกำพร้ามูลค่าต่ำ เช่น ถุงแกง ซองขนม/กาแฟ ไปทำเป็นเชื้อเพลิงต่อด้วย

กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับการดำเนินงานตามแผนแม่บทกรุงเทพมหานครว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2564-2573 (Steering Committee on the Implementation of Bangkok Master Plan on Climate Change 2021-2030) ว่า

ส่วน พื้นที่กทม. ได้ปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์หรือปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 43,000,000 ตันต่อปี จุดมุ่งหมายคือต้องพยายามลดให้ได้ ทั้งนี้ ก๊าซเรือนกระจกเกิดจากหลากหลายที่มา ส่วนใหญ่พบว่ามาจากภาคพลังงาน ซึ่งได้แก่ การใช้พลังงานในอาคาร การใช้เครื่องปรับอากาศ และการใช้พลังงานที่มาจากภาคการขนส่ง

ซึ่งทั้งสองส่วนนี้รวมแล้วมากกว่า 90% เป็นสาเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกทมทั้งหมด

  • กทม.ตั้งเป้า ‘มหานครโซลาร์เซลล์’

ที่เหลือเป็นก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการฝังกลบขยะ ทำให้เกิดก๊าซมีเทนและส่งผลให้เกิดก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งน้ำเน่าเสีย โดยทั้งหมดจะลดลงด้วยการช่วยกันปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว

ทั้งนี้ กทม. ได้พยายามพูดถึงเรื่อง Net Zero หรือการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ ซึ่งเป็นcommitment ที่กทม. มีเช่นเดียวกับทั่วโลก แต่จริงๆแล้วเราควรมองที่เป้าหมายระยะสั้น ทำให้ชัดเจนขึ้น โดยในปีพ.ศ. 2573 ได้กำหนดเป้าหมายที่จะลดคาร์บอนให้ได้อย่างน้อย 10,000,000 ตัน

โดยในวันนี้ได้มีการพูดถึงแผนพลังงาน เพราะพลังงานเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหากว่า 90% ขณะนี้ได้พยายามแยกย่อยเป้าหมายในแต่ละปีเพื่อทำให้ชัดเจน

ซึ่งจริงๆแล้วก็มีหลายมาตรการที่จะช่วยทั้งในเรื่องของการขนส่ง การส่งเสริมการใช้รถขนส่งมวลชนให้มากขึ้น การลดการใช้น้ำมัน และการใช้โซลาร์เซลล์ให้มากขึ้น ซึ่งเรามีมาตรการหลายอย่างที่จะทำให้กทม. กลายเป็นมหานครของโซลาร์เซลล์ ให้มีการใช้พลังงานจากแสงแดดให้มากขึ้น ซึ่งเป็นพลังงานพลังงานที่ไม่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก

ส่วนของกทม.ได้โฟกัสที่ 3 เขต โดยเชิญองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) มาช่วยวัด ว่าแต่ละเขตได้สร้างก๊าซเรือนกระจกมากน้อยแค่ไหน ซึ่งอย่างน้อยตัวเราเองต้องดูก่อนว่าเราผลิตมากน้อยแค่ไหน จากนั้นเราจะขยายผลไปทุกเขต รวมถึงชุมชนต่าง ๆ ในเขตด้วย ที่ผ่านมาความคืบหน้าต่าง ๆ ก็เป็นไปได้ค่อนข้างดี

ด้าน นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การก๊าซเรือนกระจก กล่าวว่า ที่ผ่านมาองค์การก๊าซเรือนกระจกฯ ได้ร่วมกับกทม. บูรณาการการวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งในภาพรวมของทั้งจังหวัดและเขตต่าง ๆ โดยเริ่มจาก 3 เขตและตามแผนจะทำให้ครบทั้ง 50 เขต

โดยแต่ละเขตต้องดูทั้งการปล่อยพลังงานไฟฟ้าและการใช้น้ำมัน รวมถึงการบริหารจัดการขยะต่าง ๆ เพื่อให้เขตต่าง ๆ สามารถวางแผนการลดตามเป้าหมายของตัวเองได้ ซึ่งทางองค์การก๊าซเรือนกระจกฯ จะได้เข้าไปช่วยสร้างแพลตฟอร์มในการประเมิน ทั้งในระดับเขตและจังหวัด โดยจะนำไปบูรณาการกับอีก 76 จังหวัด ซึ่งเราพร้อมสนับสนุนระบบวัดและเชื่อมโยงระบบให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล

  • ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 10 ล้านตันต่อปี

ที่ปรึกษาของผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า แผนการดำเนินการจึงต้องมาจาก 3 ส่วน คือหนึ่งการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพของพลังงาน เช่น การเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟแอลอีดีหรือการจำกัดความเย็นของอาคาร ซึ่งใช้พลังงานเยอะมาก สองคือการส่งเสริมการใช้พลังงานพลังงานทดแทน

และสามคือเรื่องของการส่งเสริมการใช้การเดินทางทางเลือก ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดนี้ต้องเผยแพร่ให้กับประชาชนเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานของตัวเอง และให้แผนของภาคประชาชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก 10,000,000 ตันต่อปีของกทม.

ขณะที่ ในการประชุมคณะกรรมการกำกับการดำเนินงานตามแผนแม่บทกรุงเทพมหานครว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2564-2573 (Steering Committee on the Implementation of Bangkok Master Plan on Climate Change 2021-2030) ที่ประชุม

ได้พิจารณารายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามโครงการต่าง ๆ ประกอบด้วย รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามแผนแม่บทกรุงเทพมหานครว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2564-2573 จำนวน 160 โครงการ

โดยที่ประชุมขอให้เปรียบเทียบความสำเร็จของโครงการกับเป้าหมาย และโครงการที่สำเร็จแล้วให้คิดเป็นปริมาณคาร์บอนที่ลดได้ เพื่อให้เห็นความสำเร็จตามตัวชี้วัด จากนั้นที่ประชุม ได้รับทราบรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างโยโกฮามากับกรุงเทพมหานคร (City-to-City Collaboration for Zero-Carbon Society) โดยผู้แทนโครงการ OECC (Overseas Environmental Cooperation Center) ประเทศญี่ปุ่น

สำหรับรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการศึกษาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยแบบจำลอง Asia-Pacific Integrated Model (AIM) คณะทำงานได้กำหนดกรอบการทำงาน

อย่างไรก็ตาม ตั้งเป้าสมมติฐานภายใต้ Scenario ต่างๆ และเห็นว่าหากกทม.ตั้งเป้าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ จะต้องเริ่มจากการใช้พลังงานสะอาดภายในหน่วยงาน ร่วมกับภาคประชาสังคมให้ความร่วมมือแยกขยะ เพื่อให้การจัดการขยะในภาพรวมดีขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : กทม. สั่งกฟน. ระงับก่อสร้าง ขีดเส้น 3 วันต้องปิดทุกฝาบ่อกัน ตกท่อ

: เฟสบุ๊ค กรุงเทพมหานคร