

การจัดเก็บ ภาษี เงินได้บุคคลธรรมดาของไทย ยังมีข้อจำกัดด้านความครอบคลุม และครบถ้วน จึงทำให้เกิดช่องโหว่ ใน การหลบเลี่ยงภาษี ให้คนบางกลุ่ม เลือกไม่ยื่นแบบแสดงรายการ ภาษี เงินได้ฯ
การหลบเลี่ยงภาษี เปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย เอื้อคนบางกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่คนทั้งหมดที่มีเจตนาไม่ยื่นแบบฯ แต่เป็นผลจาก สาเหตุอื่น อาทิ ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการยื่นแบบฯ

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกล่าวว่า สภาพัฒน์ฯ จึงร่วมกับศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและ ธุรกิจ จำกัด ดำเนินการสำรวจและศึกษาทัศนคติของประชาชนต่อหน้าที่การยื่นแบบฯ และการจ่ายภาษีในกลุ่ม ประชาชนอายุ25 ปีขึ้นไป
คนไทยบางส่วนไม่รู้ว่าการเสียภาษีเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย
โดยพบว่า มีกลุ่มตัวอย่างเพียงร้อยละ 35.7 ที่ยื่นแบบฯ ซึ่งส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพที่มี เงินเดือนประจำ และกว่าร้อยละ 80.8 มีสถานะทางการเงินที่รายได้เพียงพอกับรายจ่าย ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 50.5 ไม่ได้ยื่นแบบฯ แม้ว่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องยื่นแบบฯ ซึ่งพบว่ากลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาไม่เกินมัธยมศึกษา ตอนปลาย/ปวช. เป็นแรงงานนอกระบบ มีรายได้เฉลี่ย 12,115 บาทต่อเดือน อีกทั้ง มากกว่าครึ่งมี การใช้จ่ายแบบเดือนชนเดือน หรือมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้
เมื่อพิจารณาระดับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา พบว่า ภาพรวมคนไทยมีความรู้ ในระดับต่ำ โดยบางส่วนไม่รู้ว่าการยื่นแบบฯ และเสียภาษีเป็นหน้าที่ ตามกฎหมาย และกว่าร้อยละ 65.6 ไม่ทราบว่าการยื่นแบบฯ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเสียภาษี
ผู้มีรายได้สูงบางกลุ่มอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย ใน การหลบเลี่ยงภาษี
ผลสำรวจพบว่า มากกว่าครึ่ง ไม่ทราบว่า หากมีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้นการเสียภาษี ด้านทัศนคติ เกี่ยวกับ ความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ มองว่าระบบ การจัดเก็บภาษีเงินได้ฯ ในปัจจุบัน มีความเป็นธรรม ในระดับปานกลาง ถึงค่อนข้างต่ำ จากประเด็นปัญหา อาทิ ระบบตรวจสอบ ที่ไม่ครอบคลุม ทำให้มีผู้ที่มีรายได้ ถึงเกณฑ์บางส่วนไม่ยื่นแบบฯ ผู้มีรายได้สูงบางกลุ่ม อาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย ในการหลบเลี่ยงภาษี
เกณฑ์เงินได้ขั้นต่ำ ที่ต้องเสียภาษี ต่ำเกินไปไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาความเต็มใจใน การยื่นแบบฯ และ เสียภาษีของคนไทย พบว่า ประมาณร้อยละ 70 ของกลุ่มตัวอย่าง เต็มใจที่จะยื่นแบบฯ และ เสียภาษี หากมีรายได้ถึงเกณฑ์ หรือหากได้รับสวัสดิการที่ดีขึ้น/มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังพบว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่าง ไม่เห็นด้วยที่จะกำหนดให้ทุกคนที่มีรายได้ต้องยื่นแบบฯ โดยไม่ต้องมีเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำ
สำหรับปัจจัยที่จูงใจให้ คนไทยยื่นแบบฯ พบว่า กลุ่มที่มีการยื่นแบบฯ อยู่แล้ว ให้ความสำคัญกับความสะดวก ในการกรอกข้อมูลมากที่สุด ขณะที่กลุ่มที่ไม่ได้ยื่นแบบฯ แม้จะมีรายได้ถึงเกณฑ์ ต้องการให้ไม่ตรวจสอบข้อมูลภาษีย้อนหลัง และ ไม่ขอเอกสาร/ หลักฐานเพิ่มเติม ส่วนปัจจัยที่สามารถจูงใจให้เสียภาษี คือ การมีรายได้มากกว่ารายจ่าย โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ไม่ได้ ยื่นแบบฯ แม้จะมีรายได้ถึงเกณฑ์ขณะที่กลุ่มที่ยื่นแบบฯ จะให้ความสำคัญกับการจัดสวัสดิการของรัฐมากกว่า
ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี
นายดนุชากล่าว่าการส่งเสริมและพัฒนาการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจต้องดำเนินการ ดังนี้
- การสร้างความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ ประชาชน ตั้งแต่วัยเด็ก และมีการสื่อสารอย่างต่อเนื่องด้วยรูปแบบข้อมูลที่เข้าใจง่าย
- การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับ การนำภาษีไปใช้ของรัฐ รวมถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการเสียภาษีโดยการประชาสัมพันธ์ ผลการดำเนินนโยบายและการจัดสวัสดิการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน การดำเนินนโยบายที่เกิดผลได้อย่างเป็น รูปธรรม และการสื่อสารสถานการณ์การเงินการคลังของประเทศ
- การมีแนวทางส่งเสริมการเข้าระบบภาษีโดย สมัครใจ อาจพิจารณาการยกเว้นหรือลดบทลงโทษต่าง ๆ รวมถึงมีมาตรการจูงใจอื่น
- การตรวจสอบและลงโทษ ผู้ที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องอย่างเข้มงวด โดยพัฒนาระบบการตรวจสอบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงอาจมีบทลงโทษ ส าหรับผู้ที่จงใจทผิดเป็นการเฉพาะเพื่อให้เกิดความเกรงกลัว
- การอำนวยความสะดวกให้ผู้ยื่นแบบฯ ซึ่งหากพัฒนาระบบ ให้สามารถประมวลผลข้อมูล รายได้จากแหล่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น รวมถึงมีบุคลากร คอยสนับสนุน และช่วยเหลือในแต่ละกระบวนการ ทั้งนี้ภาครัฐต้องให้ความสำคัญกับการสร้างและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงดำเนินการ ส่งเสริมให้ประชาชนมีรายได้ที่เพียงพอ เพื่อให้เกิดความพร้อมและความรู้สึกสบายใจในการยื่นแบบฯ และเสียภาษีซึ่งจะเป็นการขยายฐานภาษีและจะเป็นผลดีในระยะยาวสำหรับการออกแบบนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ในอนาคต จากการมีฐานข้อมูลที่ครบถ้วนมากขึ้น
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : สภาพัฒน์ แถลง จีดีพีไทย ไตรมาสแรก ปี2567 ขยายตัว 1.5%