

“สภาพัฒน์” ชี้การจ้างงานภาคเกษตรหดตัวต่อเนื่องที่ 3.4% เหตุส่วนหนึ่งจากอุทกภัย ส่วนภาวะว่างงานไทยในไตรมาสสามทรงตัวที่ 1.02% มีผู้ว่างงาน 4.2 แสนคน เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จับตาตัวเลขแรงงานที่ว่างงานเกิน 1 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 16.2% 8.1 หมื่นคน รัฐบาลควรเร่งส่งเสริมการปรับตัวของแรงงานในอุตสาหกรรมรูปแบบเดิมให้เป็นอุตสาหกรรมสมัยใหม่
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงข่าวภาวะสังคมไทยไตรมาส 3 ในปี2567 ว่าสถานการณ์แรงงานไทยในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ค่อนข้างทรงตัวโดยมีจำนวนผู้มีงานทำทั้งสิ้น 40 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 0.1% จากการจ้างงานภาคเกษตรที่หดตัวต่อเนื่องที่ 3.4% ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์อุทกภัย ส่วนสาขานอกภาคเกษตรกรรมขยายตัวได้ที่ 1.4% โดยสาขาการขนส่งและเก็บสินค้าขยายตัวได้มากที่สุดที่ 14% และสาขาโรงแรมและภัตตาคารที่ 6.1% ขณะที่สาขาการผลิตหดตัว 1.4% โดยเฉพาะในการผลิต ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ และการผลิตยานยนต์ ชั่วโมงการทำงานโดยรวมเพิ่มขึ้น แต่บางส่วน ยังต้องการทำงานเพิ่ม โดยภาพรวมและเอกชนอยู่ที่ 43.3 และ 47.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ตามลำดับ
โดยผู้ทำงาน ล่วงเวลาเพิ่มขึ้น 3.8% ขณะที่ผู้เสมือนว่างงานลดลง32.9% และผู้ทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้น 15% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรม อัตราการว่างงานปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ 1.02% หรือมีผู้ว่างงาน จำนวน 4.1 แสนคน เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566 คิดเป็นอัตราว่างงาน 1.02% เพิ่มขึ้นจาก 0.99% ในปีก่อน
จับตาผู้ว่างงานตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปเพิ่มจากช่วงเดียวกันปีก่อน 16.2%
ทั้งนี้สถานการณ์ผู้ว่างงานที่ต้องจับตาในระยะต่อไปคือผู้ว่างงานระยะยาวตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีเดียวกันของปีก่อนหน้ามากถึง 16.2% หรือมีผู้ว่างงานในกลุ่มนี้กว่า 8.1 หมื่นคน โดยกว่า 65% ของคนในกลุ่มนี้ระบุว่าหางานไม่ได้ ขณะที่ 71.3% ไม่เคยทำงานมาก่อน ซึ่งในจำนวนนี้เกือบ 3 ใน4 อยู่ในช่วงอายุ 20 – 29 ปี ซึ่งสะท้อนภาวะที่ประเทศไทยมีงานใหม่ๆเข้ามาลงทุนแต่ว่าไม่สามารถหาแรงงานที่มีทักษะสอดคล้องกับงานใหม่ๆได้
ประเด็นแรงงานที่ต้องติดตาม
สภาพัฒน์เสนอประเด็นแรงงานที่ต้องติดตามในระยะถัดไปได้แก่
1.การส่งเสริมการปรับตัวของแรงงานในอุตสาหกรรมรูปแบบเดิมให้เป็นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยปัจจุบันหลายอุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้โครงสร้างการผลิตแบบเดิมไม่ตอบสนองความต้องการของตลาด ซึ่งส่งผลกระทบต่อแรงงานทั้งการเลิกจ้าง การลด OT ตลอดจนการใช้มาตรา 75 การสมัครใจลาออก และการเกษียณก่อนกำหนด
2.การเตรียมความพร้อมด้านทักษะแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมที่มีการลงทุนเพิ่มส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมใหม่ และอาจมีการจ้างแรงงานไทยประมาณ 1.7 แสนคน ซึ่งจะต้องมีการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคนเพื่อให้แรงงานไทยได้รับประโยชน์จากการการลงทุนดังกล่าว
3. ผลกระทบต่อค่าครองชีพจากสถานการณ์อุทกภัยที่ทำให้ราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น โดยสถานการณ์อุทกภัยตั้งแต่ช่วงกลางปี2567 ทำให้พื้นที่เกษตรกรรมได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบโดยเฉพาะพืชระยะสั้นเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ควรตรวจสอบและควบคุมราคาไม่ให้กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะผู้ประสบภัยน้ำท่วม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : สภาพัฒน์ เสนอแนะรัฐบาลหากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบต่อไป ต้องอัดฉีดเงินแบบพุ่งเป้า