สภาพัฒน์ (สศช.) เสนอแนะรัฐบาลหากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบต่อไป ต้องอัดฉีดเงินแบบพุ่งเป้า ส่วนการประเมินนโยบายแจกเงิน 10000 บาท ไปยังกลุ่มเปราะบาง คาดมีผลต่อจีดีพีไตรมาสสุดท้ายปี 2567 แต่ยังไม่แน่ใจกระตุ้นได้แค่ไหนเพราะแจกเงินสดทำให้ประเมินยาก ชี้ต้องเร่งแก้ปัญหาน้ำท่วมเพื่อลดผลกระทบและงบประมาณในการเยียวยา
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ผ่านนโยบายแจกเงิน 10000 บาท ไปยังกลุ่มเปราะบางทั้งผู้สูงอายุ และผู้พิการ ซึ่งดำเนินการเสร็จสิ้นไปช่วงปลายเดือนกันยายน 2567 น่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 โดยจะต้องประเมินเงินที่ลงไปในระบบเศรษฐกิจอีกครั้งว่าจะมีผลอย่างไร
“ช่วงแรกที่จ่ายเงิน 10000 บาทลงไปกว่าเงินเข้าระบบต้องสำรวจและประเมินอีกครั้งว่า นำไปใช้จ่ายอะไรบ้าง และจะช่วยเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้แค่ไหน เพราะต้องไปดูรูปแบบการใช้จ่ายก่อนเนื่องจากการจ่ายออกไปเป็นเงินสด จะประเมินผลต่อเศรษฐกิจได้ยากว่านำไปใช้จ่ายอะไร จึงต้องสำรวจ ซึ่งล่าสุด สศช. ร่วมกับกระทรวงการคลัง และสำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้ออกสำรวจกลุ่มตัวอย่างเพื่อให้ได้ข้อมูลว่าเงินที่ได้ไปใช้จ่ายอะไร และส่งผลอย่างไรกับเศรษฐกิจ”
ทั้งนี้ในการประเมินเบื้องต้น การแจกเงินกลุ่มเปราะบาง 10000 บาทในช่วงที่ผ่านมา เงินส่วนนี้จะมีต่อเศรษฐกิจอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2567 ส่วนการดำเนินมาตรการนี้ต่อเนื่องหรือไม่นั้น คงต้องรอข้อสรุปจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในวันที่19 พฤศจิกายน 2567 นี้ อีกครั้งว่าจะมีมติออกมาอย่างไร
อย่างไรก็ตามในแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งในช่วงที่เหลือของปี 2567 เพื่อให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ สศช. ตั้งไว้ 2.6% และในปี 2568 ขยายตัว 2.8% นั้น สศช. มองว่า สิ่งสำคัญคือการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบพุ่งเป้ามากขึ้นโดยต้องพิจารณาสถานการณ์ต่าง ๆ ให้รอบคอบ และต้องหารือถึงแนวทางการดำเนินมาตรการให้เกิดผลต่อเศรษฐกิจมากที่สุด
เสนอแนะเร่งแก้ปัญหาน้ำท่วม
สำหรับผลกระทบจากน้ำท่วม กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ 0.3% หรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ในปี 2567 ทั้งนี้ผลกระทบไม่สูงมาก เพราะกระทบต่อพื้นที่ภาคเกษตรไม่มากนัก และไม่กระทบต่อภาคอุตสาหกรรมต่างจากน้ำท่วมในปี 2554
อย่างไรก็ตามหากปล่อยให้น้ำท่วมทุกปี คาดว่ารัฐบาลต้องใช้เงินประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปี ในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งไม่ควรจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ เพราะในระยะยาวหากปล่อยให้มีน้ำท่วมซ้ำซาก รัฐบาลก็ต้องมีการจัดสรรงบประมาณในการเยียวยาทุกปี ซึ่งควรจะมีการใช้งบประมาณไปใช้ในด้านอื่นที่มีประโยชน์มากกว่า
สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : สภาพัฒน์ ชี้ ต้องรีบเตรียมตัวรองรับความไม่แน่นอนของนโยบายโดนัลด์ ทรัมป์