กกร. เตือน 3 ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ การกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้น เงินเฟ้อที่กลับมาเร่งตัว และอสังหาริมทรัพย์ของจีน

เศรษฐกิจ การค้า เงินเฟ้อ กกร.
กกร. เตือน 3 ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ การกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้น เงินเฟ้อที่กลับมาเร่งตัว และอสังหาริมทรัพย์ของจีน


คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เตือนเศรษฐกิจโลกระยะข้างหน้ายังมีความเสี่ยงจากการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่กลับมาเร่งตัวจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ และปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่แย่กว่าคาด

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) โดยมีนายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายผยง ศรีวณิชประธานสมาคมธนาคารไทย ร่วมในการแถลงข่าว เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงชัดเจน

คาด GDP โลกทั้งปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่ำ เครื่องชี้การผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือนตุลาคมของประเทศสำคัญ ทั้งสหรัฐฯยุโรป และญี่ปุ่น ต่างหดตัวต่อเนื่อง ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มองเศรษฐกิจโลกปี 2567 ยังเติบโตได้ต่ำ โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.2% ส่วนปีหน้ามีแนวโน้มทรงตัว

ทั้งนี้ยังเตือนว่าเศรษฐกิจโลกระยะข้างหน้ายังมีความเสี่ยงจากหลายปัจจัยหลัก ทั้งการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่กลับมาเร่งตัวจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ และ ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่แย่กว่าคาด

ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นความเสี่ยงต่อสินค้าไทยที่เกินดุลกับสหรัฐฯ

จับตาผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งนัยยะต่อเศรษฐกิจไทยเบื้องต้นถือเป็นความเสี่ยงต่อสินค้าไทยที่มีการเกินดุลกับสหรัฐฯ คาดว่าจะกระทบการส่งออกไทยผ่านมาตรการขึ้นภาษีการนำเข้าและการกีดกันทางการค้ารอบใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่เกินดุลการค้าสูงและมูลค่าการส่งออกขยายตัวได้ดี เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เซมิคอนดักเตอร์ ยางล้อ และกลุ่มสินค้าที่เกินดุลการค้าปานกลางและมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวรวดเร็ว เช่น เครื่องปรับอากาศ โซลาร์เซลล์ เป็นต้น ซึ่งจำเป็นจะต้องติดตามความคืบหน้าของนโยบายเหล่านี้ต่อไป

โดยภาครัฐและผู้ประกอบการต้องเตรียมหาแนวทางร่วมกันในการรับมือกับนโยบายที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจไทยปี2567 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 2.6-2.8% สูงกว่าประมาณการเดิมจากแรงขับเคลื่อนของการส่งออกที่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรขาขึ้นของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ที่ส่งผลให้การส่งออกสามารถเติบโตได้ 2.5-2.9% สูงกว่าประมาณการเดิม ประกอบกับมีปัจจัยหนุนจากการกระตุ้นกำลังซื้อ และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ

นอกจากนี้ มาตรการภาครัฐทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ที่กำลังจะทยอยออกมา อาทิ การช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและกลุ่มผู้ประกอบการ SME การปรับกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปีเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ถือเป็นกลไกสำคัญในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและสร้างความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

กกร. ปรับประมาณการณ์ GDP ปีนี้เป็น 2.6 ถึง 2.8 %

กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 ของ กกร. (ณ ก.ย. 67) ปี2567 GDP 2.2 ถึง 2.7% ส่งออก 1.5 ถึง 2.5% เงินเฟ้อ 0.5 ถึง 1.0 %

(ณ ต.ค. 67) ปี 2567 GDP 2.2 ถึง 2.7 % ส่งออก 1.5 ถึง 2.5 %เงินเฟ้อ 0.5 ถึง 1.0 %

(ณ พ.ย. 67) ปี 2567 GDP 2.6 ถึง 2.8 % ส่งออก 2.5 ถึง 2.9%เงินเฟ้อ 0.5 ถึง 1.0 %

ในระยะถัดไปเศรษฐกิจมีสัญญานการฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์น้ำท่วมเฉียบพลันในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวยังคงฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ สะท้อนจากผลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประกอบกับปัญหาสินค้าทุ่มตลาดที่ยังคงกดดันยอดขายของผู้ประกอบการในประเทศ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง เช่นมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี และมาตรการเพิ่มกำลังซื้อคูณ 2 เช่น E-Receipt เป็นต้น ในช่วงต้นปีหน้าให้กับประชาชน รวมทั้งการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว ส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ

กกร.สนับสนุนการปรับกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปี

โดย กกร.สนับสนุนการปรับกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปี และจะมีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีความเข้าใจใน

รายละเอียด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อระบบและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ

กกร.สนับสนุนแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน

ที่ประชุมกกร.สนับสนุนแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ตามที่สมาคมธนาคารไทย กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง ทั้งรายย่อยและธุรกิจขนาดเล็ก ที่มีภาระหนี้สูง และประสบความยากลำบากในการชำระหนี้ โดยมุ่งช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อ SME รายเล็ก ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่สูง และมีปัญหาเริ่มค้างชำระ อ้างอิงข้อมูล ณ วันที่31 ตุลาคม 2567 

ทั้งนี้เป็นจุดตั้งต้นในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ไม่ใช่มาตรการที่มุ่งแก้ปัญหาชั่วคราว โดยทางรัฐบาลจะต้องมีมาตรการในการดึงทุกภาคส่วนเข้าสู่ระบบ รวมถึงฐานข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) เพื่อให้ทุกฝ่ายทราบถึงภาระและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ได้ไม่ก่อให้เกิดภาระหนี้เกินกำลังหรือเกินความจำเป็น และเพื่อให้มีข้อมูลในการให้ความช่วยเหลืออย่างตรงจุด เหมาะสมและเป็นธรรม ลดรอยรั่วที่เป็นต้นทุนแฝงในระบบ

ยกตัวอย่างเช่น การเสริมทักษะแรงงาน เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นทรัพยากรขับเคลื่อนธุรกิจ SME พร้อมเสริมศักยภาพการแข่งขัน สร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการ SME เช่น มีมาตรการสนับสนุนให้ SME เข้าถึงการประมูลงานภาครัฐ สำหรับแหล่งเงินทุนในมาตรการจะมาจาก 2 ส่วนคือ การลดเงินนำส่งเข้ากองทุนFIDF ทั้งระบบเหลือ 0.23% และเงินสนับสนุนจากภาคธนาคารโดยรายละเอียดของมาตรการทางธปท.และกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาและจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติต่อไป

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : กกร. พบ นายกฯ “แพทองธาร” มอบสมุดปกขาว ให้เร่งแก้ปัญหาหาเศรษฐกิจ