

สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่จนถึงขณะนี้ ที่กินพื้นที่กว่าค่อนประเทศ สร้างความเสียหายแก่ชีวิต และทรัพย์สินให้กับพี่น้องประชาชน ภาคธุรกิจอย่างหนักหน่วง
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่า น้ำท่วมขณะนี้ สร้างความสียหายแล้ว 30,000-50,000 ล้านบาท หรือ 0.2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GPD) ไทยที่มีมูลค่า 19 ล้านล้านบาท
แต่ยังไม่รู้ว่า ความเสียหายจะหยุดอยู่เพียงเท่านี้หรือไม่ เพราะกว่าจะสิ้นสุดฤดูฝนปี 67 ก็ในช่วงปลายเดือนต.ค.นี้ และจากนี้ ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคใต้อย่างใกล้ชิด
เนื่องจากปริมาณฝน ในภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงภาคกลางกำลังจะหมดแล้ว
หากรัฐบาลเตรียมการรับมือตั้งแต่เนิ่นๆ อาจลดความสูญเสียได้อีกมาก
สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วกับประชาชนขณะนี้ ภาครัฐมีมาตรการช่วยเหลือ เยียวยาอย่างไร และคุ้มค่าหรือไม่ เชิญติดตาม
ครม.ทุ่มงบช่วยเหลือ 3 พันล้านบาท
สำหรับมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภาครัฐ เมื่อวันที่ 17 ก.ย.67 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณุฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2567 จำนวน 3,045,519,000 ล้านบาท
โดยให้“กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย”กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยรับงบประมาณ และจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน
แต่ล่าสุด ที่ประชุมครม.เมื่อวันที่ 8 ต.ค.67 ได้ปรับหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการช่วยเหลือใหม่ ให้สอดคล้องกับความรุนแรงของสถานการณ์ และความเสียหายของประชาชน รวมทั้งให้ครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบได้รับค่าดำรงชีพเป็นกรณีพิเศษ
สำหรับหลักเกณฑ์ ที่ปรับปรุงใหม่แล้ว ได้แก่ 1.จ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ทั้งกรณีที่อยู่อาศัยประจำอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินเสียหาย หรือ 2.ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังติดต่อกันเกิน 7 วัน และทรัพย์สินเสียหาย
โดยผู้เสียหายทั้ง 2 กรณีจะได้รับเงินช่วยเหลืออัตราเดียวกัน คือ ครัวเรือนละ 9,000 บาท จาก เดิมจ่ายเป็นขั้นบันได ที่ 5,000 บาท 7,000 บาท และ 9,000 บาท ส่วนผู้ที่ได้รับเงินช่วยเหลือตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 67 ไปแล้ว จะจ่ายให้ครบ 9,000 บาท
ส่วนกรณีบ้าน หากเสียหาย 70% จะได้รับเงินเยียวยา 230,000 บาท แต่กรณีที่ประสบภัยหลายครั้ง ให้ได้รับความช่วยเหลือครั้งเดียว!!
นอกจากนี้ ประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมไม่ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าเดือน ก.ย. ส่วนเดือนต.ค.ลดให้ 30%
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ รัฐอาจมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนกลับไปใช้จ่าย และท่องเที่ยวในพื้นที่น้ำท่วม โดยเฉพาะเชียงใหม่ และเชียงรายที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพื่อให้ประชาชน และภาคธุรกิจ กลับมายืนได้อีกครั้ง
เปิด 2 ช่องทางยื่นขอรับเงินชดเชย
สำหรับผู้ที่ยื่นเรื่องขอรับเงินช่วยเหลือได้ ต้องอยู่ในพื้นที่ที่ประกาศเป็นเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย พื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน 57 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ กาญจนบุรี กาฬสินธุ์กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชัยภูมิ ชลบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง
นอกจากนี้ ยังมีตราด ตาก นนทบุรี นครนายก นครปฐม นครพนม นครสวรรค์ นครราชสีมา
นครศรีธรรมราช น่าน บึงกาฬ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พังงา พะเยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่
รวมถึงภูเก็ต มหาสารคามมุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยะลา ระยอง ราชบุรี ร้อยเอ็ด ลำปาง ลำพูน
เลย ศรีสเกษ สกลนคร สตูล สระแก้ว สระบุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง
อุทัยธานี อุดรธานี อุตรดิตถ์ และอุบลราชธานี
ทั้งนี้ สามารถยื่นคำร้องได้ 2 ช่องทาง คือ 1.ยื่นคำร้องด้วยตนเอง ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่อุทกภัย และ2.ยื่นผ่านเว็บไซต์ http://flood67.disaster.go.th
โดยเตรียมเอกสาร ดังนี้ บัตรประจำตัวประชาชน พร้อมหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ สำเนาทะเบียนบ้าน (กรณีเป็นบ้านพักอาศัยที่มีทะเบียน), สัญญาเช่าบ้านหรือหนังสือรับรองการเช่าจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กรณีเป็นบ้านเช่า)
หากเป็นกรณีอื่น เช่น บ้านพักอาศัยประจำแต่ไม่มีทะเบียนบ้าน ต้องให้กำนัน หรือผู้ใหญ่บ้าน หรือ ผู้บริหารท้องถิ่น รวมกับผู้นำชุมชน ตรวจสอบข้อเท็จจริงและลงนามร่วมกันอย่างน้อย 2 ใน 3 คน
จ่ายเยียวยาแล้วกว่า 88 ล้านบาท
ในเรื่องการจ่ายเงินเยียวยานั้น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ((ปภ.) ระบุว่า ล่าสุด ณ วันที่ 8 ต.ค.67 มีผู้ยื่นคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือแล้ว 54 จังหวัด รวม 137,562 ครัวเรือน
ปภ.ได้ส่งข้อมูลที่ตรวจสอบและยืนยันจากจังหวัด ให้ธนาคารออมสินแล้ว 6 ครั้ง รวม 18,897 ครัวเรือน เป็นเงิน 94,615,000 บาท
ณ วันที่ 9 ต.ค.67 ธนาคารออมสินโอนเงินเข้าบัญชีผู้ประสบภัยสำเร็จแล้ว 6 ครั้ง รวม 17,675ครัวเรือน เป็นเงิน 88,476,000 บาท
ส่วนผู้ที่ได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท และ 7,000 บาท ปภ.จะนำส่งข้อมูลให้ธนาคารออมสินโอนเงินให้ตั้งแต่ครั้งที่ 7 เป็นต้นไป เพื่อโอนให้ครบ 9,000 บาท
ทั้งนี้ ประชาชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่กองช่วยเหลือผู้ประสบภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โทร.0-2637-3508 – 10,12 หรือ 089-600-6777 และ 084-874-7387
และหากต้องการสอบถามเรื่องการยื่นคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือผ่านออนไลน์ หรือพบปัญหาในการใช้งาน สอบถามได้ที่ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปภ. โทร. 0-2637-3604-06 และ 089-968-1232
แบงก์เฉพาะกิจของรัฐระดมช่วยด้วย
ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลัง ก็ได้ออกมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยปี 67 ผ่าน “สถาบันการเงินเฉพาะกิจ” ของรัฐ ทั้งพักชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
ยกตัวอย่างเช่น ธนาคารออมสิน ขยายเวลาพักหนี้อัตโนมัติจาก 3 เดือน เป็น 6 เดือน โดยผู้ได้รับผลกระทบพักจ่ายเงินต้น และธนาคารไม่คิดดอกเบี้ย มีผลตั้งแต่งวดเดือนต.ค.67 ถึงเดือนมี.ค.68 จากนั้นให้กลับมาชำระหนี้ตามสัญญาเดิมตั้งแต่งวดเดือนเม.ย.68 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ยังเพิ่มชื่อผู้ได้รับสิทธิ์พักหนี้เป็น 140,000 บัญชี จากเดิม 110,000 บัญชี คิดเป็นเงินที่ธนาคารลดดอกเบี้ยกว่า 2,000 ล้านบาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร.1115 หรือที่ Facebook : GSB Society
และยังเตรียมวงเงิน 50,000 ล้านบาท ภายใต้โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up เพื่อช่วยเหลือ SMEs ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้ประกอบอาชีพอิสระ
โดยธนาคารจะสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้แก่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ อัตราดอกเบี้ย 0.1% ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี เพื่อนำไปปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ที่ได้ผลกระทบ ดอกเบี้ยไม่เกิน 5% ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี วงเงินต่อรายไม่เกิน 40 ล้านบาท ยื่นขอสินเชื่อได้จนถึงวันที่ 30 ธ.ค.67
ส่วนบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เตรียมโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยปี 67 ภายใต้โครงการ PGS 11
โดย บสย. จะจ่ายค่าประกันชดเชยตลอดโครงการนี้เพิ่มเป็นไม่เกิน 40% จากเดิม 30% โดยรัฐบาลจะจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันแทนผู้ประกอบการใน 3 ปีแรก จากนั้น บสย. คิดค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 25% ต่อปี ระยะเวลาค้ำประกันไม่เกิน 10 ปี รับคำขอค้ำประกันถึงวันที่ 30 เม.ย.68
นอกจากนี้ ยังมีธนาคารอื่นๆ อีก ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.)
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ประชาชนกำลังเดือดร้อน และต้องการเงินซ่อมแซมบ้านเรือน และฟื้นฟูความเสียหายนั้น
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ขอเตือนว่า อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นสถาบันการเงิน หรือผู้ให้บริการทางการเงิน โฆษณาเชิญชวนให้สมัครใช้บริการกู้เงินผ่านโซเชียลมีเดีย, แอปพลิเคชัน และส่งต่อลิ้งค์ของเว็บไซต์ต่างๆ โดยเด็ดขาด
เพราะขณะนี้กำลังออกอาละวาดหนัก และสร้างความเสียหายให้กับประชาชนที่หลงเชื่อไปบางส่วนแล้ว!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “นฤมล“ นำทีมลงพื้นที่อยุธยา-ปทุมธานี มั่นใจไม่ซ้ำรอย น้ำท่วม ปี 54