รัฐบาล ตั้งเป้าเพิ่ม จีดีพี ปีนี้ให้ถึง 3%

พิชัย จีดีพี ปีนี้ให้ถึง 3%
พิชัย ชุณหวชิรรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ชง รัฐบาล ตั้งเป้าเพิ่ม จีดีพี ปีนี้ให้ถึง 3%

”พิชัย“ ชงครม.เศรษฐกิจ รัฐบาล หาทางเพิ่ม จีดีพี ปีนี้ให้ถึง 3% จากแผนเดิมที่โตเพียง 2.4-2.5% เร่งเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ เบิกจ่ายงบ ดันลงทุนเอกชน

ประชุม ครม.เศรษฐกิจ
ประชุม ครม.เศรษฐกิจ

นายพิชัย ชุณหวชิรรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า กระทรวงการคลัง ได้นำเสนอแนวทางที่จะเพิ่มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ของปีนี้ให้ได้ 3% เพิ่มเติมจากที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ประเมินว่าจะอยู่ที่ 2.4% และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) คาดว่าจะเติบโตได้ 2.5%

โดยมีแนวทางที่ดำเนินการได้ ประกอบด้วย

รัฐบาล เพิ่ม จีดีพี

  • 1.การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากเป้าเดิม 35.7 ล้านคน ถ้าหากเพิ่มได้อีก 1 ล้านคน จะช่วยดันจีดีพี เพิ่มขึ้น 0.12% ซึ่งกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา รับปากจะทำให้ได้ และอาจได้เพิ่มจากเป้าถึง 2 ล้านคน
  • 2.การเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนของปีงบประมาณ 2567 ซึ่งจากวงเงินทั้งสิ้น 850,000 ล้านบาท ในปีปกติจะมีการเบกจ่ายที่ 60% ของวงเงิน ในปีนี้คาดการณ์เบิกจ่ายได้จริง 70% ของวงเงิน แต่เป้าหมายในใจอยากเห็น 75% จากที่ในวันนี้เบิกจ่ายอยู่ที่ 41%

“โดยในวันพุธนี้จะหารือกับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณและคาดว่าจะเบิกจ่ายได้ต่ำกว่าเป้า เพื่อหาทางขับเคลื่อนการเบิกจ่ายให้ได้ โดยหากการเบิกจ่ายงบลงทุนอยู่ที่ 70% จะผลักดันจีดีพีเพิ่มขึ้น 0.24%”

  • 3.เร่งการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งในส่วนที่ได้รับมาตรการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ไปแล้ว 800,000 ล้านบาท หากปีนี้มีการลงทุน 30,000-40,000 ล้านบาทก็จะช่วยเพิ่มจีดีพีได้

“การที่จีดีพีไตรมาสแรกขยายตัว 1.5 % และคาดการณ์ตลอดทั้งปี 2.4-2.5% ถ้าเป็นอย่างนี้อยู่เฉยๆไม่ได้ คงต้องทำอะไรบางอย่าง ทางรอดของไทย จีดีพีต้องขึ้นถึง 5% แต่ขอดูปีนี้ก่อน ที่จะทำให้ได้ 3% และใน 3 ปีข้างหน้า จะดูต่อไปว่าต้องทำอย่างไร และจะมีมาตรการอะไรออกมา”

เร่งช่วยคนตกงาน 100,000 คน

นอกจากนี้ที่ประชุมได้เชิญนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน มานำเสนอข้อมูลการทำงาน หลังจากมีข่าวว่าโรงงานผลิตรถยนต์ยี่ห้อซูบารุ และซูซูกิ ปิดกิจการในไทย ซึ่งรมว.แรงงานระบุว่า ประเทศไทยมีคนตกงาน 500,000 คนเศษ ได้กลับเข้าระบบแล้วกว่า 300,000 คน เหลือตกงานจริง 170,000-180,000 คน เมื่อรวมกับผู้จบการศึกษาใหม่อีก 500,000 คน ทำให้มีจำนวนผู้ต้องการทำงาน 600,000-700,000 คน ซึ่งตลาดแรงงานมีความต้องการประมาณ 500,000 คน ทำให้มีปัญหาที่ต้องแก้ไขอีก 100,000 คน

กระทรวงแรงงานรับไปแก้ปัญหา ส่วนที่ประเทศไทยขาดการพัฒนาทักษะของแรงงาน จะมีการตั้งคณะกรรมการเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ ขึ้นมาครั้งแรก เพื่อดำเนินการร่วมกับภาคเอกชนและมหาวิทยาลัยในการพัฒนาคนด้านอิเลคทรอนิคส์ขั้นสูง โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยและภาคเอกชนของไต้หวันในการไปเรียนและฝึกงาน ทั้งนี้ ประเทศไทยยังมีบุคลากรด้านอิเลคทรอนิกส์ที่อายุต่ำกว่า 40 ปีที่สามารถนำมาเพิ่มทักษะด้วย

เร่งแก้ปัญหาเอ็นพีแอลสูง

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือการแก้ปัญหาทางการเงินใน 2 ประเด็น คือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)สูง และการเข้าไม่ถึงสินเชื่อ โดยจะมีการหารือเพิ่มเติมกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เพื่อช่วยเหลือคนที่ติดเครดิตบูโรจากวิกฤติโควิด ซึ่งเรียกลุ่มนี้ว่าลูกหนี้รหัส 21 ให้สามารถออกจากเครดิตบูโรได้เร็วขึ้นในปี 2568

นำวงเงินแสนล้านบาทให้แบงค์พาณิชย์ปล่อยกู้

ส่วนการเข้าถึงสินเชื่ออยู่ระหว่างการพิจารณาให้ธนาออมสิน นำวงเงิน 100,000 ล้านบาท มาให้ธนาคารพาณิชย์กู้ในอัตราดอกเบี้ย 0.1% และให้นำไปปล่อยกู้ต่อ อัตราดอกเบี้ย 3.5% ใน 3 ปีแรก และปีที่ 4-5 อัตรคาดอกเบี้น 5-6%

“มาตรการนี้ธนาคารออมสินจะขาดทุน 1,000 ล้านบาท เพราะมีต้นทุนดำเนินงาน 1.7% แต่ได้แค่ 0.1% ซึ่งไม่เป็นไรเพราะธนาคารออมสินมีกำไรปีละ 30,000 ล้านบาท หย่อนตรงนี้ไปนิดหน่อยถือเป็นการช่วยเหลือสังคม และจำไปหารือกับ ธปท.ด้วยว่ามีวิธีการใดทำได้อีก”

นายพิชัยกล่าวว่านอกจากนี้จะเสนอ ครม.พรุ่งนี้ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) จะค้ำประกันเงินกู้ สูงสุด10 ปีตามโครงการ PGS 11 รายละไม่เกิน 40 ล้านบาท วงเงิน 50,000 ล้านบาท

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ต้องเร่งเบิกจ่ายถึง 70% ถึงจะทำให้ จีดีพี 67 โตได้ 2.5%