

หลายปีที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ส่งเสริมและผลักดันให้ชุมชนต่างๆ และผู้ผลิต นำสินค้าท้องถิ่น สินค้าอัตลักษณ์ ที่เชื่อมโยงกับภูมิศาสตร์ และภูมิปัญญาท้องถิ่น มาขึ้นทะเบียนเป็น “สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์” หรือจีไอ อย่างต่อเนื่อง
เพื่อปกป้องคุ้มครองสินค้าอัตลักษณ์ไทย สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ยกระดับรายได้ และชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร และผู้ผลิต รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค
นอกจากนี้ ยังได้นำสินค้าจีไอไทยไปขึ้นทะเบียนในต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศให้มากขึ้น นำมาซึ่งรายได้เข้าประเทศ
ปัจจุบัน มีสินค้าท้องถิ่นไทยจากทั่วประเทศ ขึ้นทะเบียนจีไอในไทยแล้วกี่รายการ ในต่างประเทศกี่รายการ และช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้เท่าไร วันนี้มีคำตอบ
ขึ้นทะเบียนจีไอไทย 208 สินค้า
ทั้งนี้ จากความพยายามของกระทรวงพาณิชย์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในการส่งเสริมและสนับสนุนการขึ้นทะเบียนสินค้าจีไอ ทำให้ล่าสุดมีสินค้าท้องถิ่นไทยขึ้นทะเบียนแล้ว 208 รายการ สร้างมูลค่าได้ไม่ต่ำกว่า 71,000ล้านบาท
โดยสินค้าจีไอทั้ง 208 รายการ แบ่งเป็น กลุ่มข้าว 23 สินค้า เช่น ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ข้าวเจ๊กเชยเสาไห้ ข้าวก่ำล้านนา ข้าวไร่ลืมผัวเพชรบูรณ์ ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ฯลฯ
กลุ่มอาหารแปรรูป 41 สินค้า เช่น กาแฟดงมะไฟ กาแฟดอยตุง กาแฟดอยช้าง ชาเชียงราย ไชโป๊วโพธาราม น้ำตาลโตนดเมืองเพชร หมูย่างเมืองตรัง หอยนางรมสุราษฎร์ธานี ปลาสลิดบางบ่อ ปลาช่อนแม่ลา ฯลฯ
กลุ่มพืช ผัก ผลไม้ 103 สินค้า เช่น กระท้อนห่อบางกร่าง กล้วยไข่กำแพงเพชร กล้วยหอมทองปทุม ทุเรียนหลงลับแลอุตรดิตถ์ ทุเรียนจันท์ ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา สับปะรดตราดสีทอง อะโวคาโดตาก ฯลฯ
กลุ่มผ้า 16 สินค้า เช่น ผ้าตีนจกแม่แจ่ม ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์ ผ้าหม้อห้อมแพร่ ผ้าไหมสาเกต ผ้าไหมยกดอกลำพูน ผ้าตีนจกโหล่งลี้ลำพูน ผ้าหมักโคลนบึงกาฬ ฯลฯ
กลุ่มหัตถกรรม 23 สินค้า เช่น ครกหินอ่างศิลา ร่มบ่อสร้าง เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียง ศิลาดลเขียงใหม่ สังคโลกสุโขทัย โอ่งมังกรราชบุรี ครุน้อยบ้านสะอางศรีสะเกษ นิลเมืองกาญจน์ ฯลฯ
และกลุ่มไวน์ สุรา 2 สินค้า ได้แก่ ไวน์ที่ราบสูงภูเรือ และไวน์เขาใหญ่
สำหรับปี 67 มีสินค้าที่ขึ้นทะเบียนแล้ว เช่น ข้าวเบายอดม่วงตรัง, มังคุดทิพย์พังงา, ปลานิลกระชังแม่น้ำโขงหนองคาย, ข้าวหอมใบเตยนครสวรรค์, ทุเรียนหมอนทองระยอง, ปลิงทะเลเกาะยาว, ส้มควายภูเก็ต, กระท้อนทองใบใหญ่บางเจ้าฉ่า และล่าสุด หินอ่อนพรานกระต่าย
8 จีไอไทยตีทะเบียนต่างประเทศ
นอกจากนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ยังได้นำสินค้าจีไอไปยื่นคำขอขึ้นทะเบียนในต่างประเทศด้วยเช่นกัน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้มากขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค และขยายตลาดสู่ต่างประเทศ
ล่าสุด มีสินค้าจีไอไทย 8 สินค้า ที่ขึ้นทะเบียนในต่างประเทศสำเร็จ และได้รับความคุ้มครองใน 33 ประเทศทั่วโลก ได้แก่
1.ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ที่สหภาพยุโรป (อียู) อินโดนีเซีย มาเลเซีย 2.กาแฟดอยตุง อียู ญี่ปุ่น กัมพูชา 3.กาแฟดอยช้าง อียู ญี่ปุ่น 4.ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง อียู อินโดนีเซีย มาเลเซีย
5.เส้นไหมพื้นบ้านอีสาน เวียดนาม 6.มะขามหวานเพชรบูรณ์ เวียดนาม 7.ลำไยอบแห้งเนื้อสีทองลำพูน เวียดนาม 8.ผ้าไหมยกดอกลำพูน อินโดนีเซีย อินเดีย
ขณะเดียวกัน ยังมีอีก 8 สินค้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อรับจดทะเบียนในต่างประเทศ ได้แก่ 1.ข้าว
หอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ 2.มะขามหวานเพชรบูรณ์ 3.ทุเรียนปราจีน ที่จีน
4.มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี จีน อียู 5.ส้มโอทับทิมสยามปากพนัง จีน มาเลเซีย 6.สับปะรดห้วยมุ่น ญี่ปุ่น
7.มะม่วงน้ำดอกไม้สระแก้ว เวียดนาม และ8.ไวน์เขาใหญ่ เวียดนาม อียู
สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าท้องถิ่นหลายเท่า
อย่างไรก็ตาม คงมีคำถามตามมาว่า เมื่อเป็นสินค้าจีไอแล้ว จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้จริงหรือไม่ และยกระดับรายเกษตรกร ผู้ผลิตได้จริงหรือไม่
ซึ่งจากการที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้สอบถามผู้ผลิต และผู้ประกอบการ พบว่า การขึ้นทะเบียนจีไอส่งผลให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นมาก เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคมากขึ้น ช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึง และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานรากได้จริง
เห็นได้จากข้อมูลทางการตลาดในปีงบประมาณ 66 ซึ่งสำรวจโดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ พบว่า สินค้าจีไอมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 2.68% ของสินค้าที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมด หรือโดยเฉลี่ยมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 3%
สินค้าที่ประสบความสำเร็จ (Product Champion) เช่น ส้มโอทับทิมสยามปากพนัง ก่อนขึ้นทะเบียน เกษตรกรขายได้ลูกละ 150 บาท หลังขึ้นทะเบียน ราคาสูงขึ้นถึงลูกละ 500 บาท
ทุเรียนหลินลับแลอุตรดิตถ์ ก่อนขึ้นทะเบียน กิโลกรัม (กก.) ละ 200 บาท หลังขึ้นทะเบียนกก.ละ 900 บาท
หรือผ้าไหมยกดอกลำพูน จากเดิมผืนละ 6,000 – 10,000 บาท เพิ่มขึ้นเป็นผืนละ 22,500 – 100,000 บาท เป็นต้น
เปิดลิสต์สินค้าจีไอสร้างรายได้สูงสุด
นอกจากนี้ สินค้าจีไทย ยังสร้างรายได้จากการส่งออก และขายในประเทศได้มากกว่า 71,000 ล้านบาท โดย สินค้าจีไอที่ทำรายได้จากการส่งออกสูงสุด 10 อันดับแรก จากการสำรวจในปีงบประมาณ 66 ได้แก่
- อันดับ 1 ทุเรียนหมอนทองระยอง 15,645 ล้านบาท ตลาดสำคัญคือ จีน
- อันดับ 2 ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา 4,890.2 ล้านบาท ตลาดสำคัญ คือ จีน และมาเลเซีย
- อันดับ 3 มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี 285 ล้านบาท ตลาดส่งออก คือ จีน สหรัฐฯ แคนาดา และฝรั่งเศส
- อันดับ 4 มะม่วงน้ำดอกไม้สระแก้ว 107 ล้านบาท ตลาดสำคัญ คือ ฮ่องกง
- อันดับ 5 มังคุดทิพย์พังงา 80.12 ล้านบาท ตลาด คือ จีน และเวียดนาม
- อันดับ 6 มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองบางคล้า (จ.ฉะเชิงเทรา) 35 ล้านบาท ตลาดเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น
- อันดับ 7 กล้วยหอมทองเพชรบุรี 24 ล้านบาท ตลาดญี่ปุ่น
- อันดับ 8 ส้มโอท่าข่อยเมืองพิจิตร 10.4 ล้านบาท ตลาดจีน
- อันดับ 9 กล้วยตากบางกระทุ่มพิษณุโลก 10 ล้านบาท ตลาดซาอุดิอาระเบีย ซีเรีย ตุรกี บรูไน มาเลเซีย ฮ่องกง เกาหลีใต้ สหรัฐฯ และนิวซีแลนด์
- อันดับ 10 มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองพิษณุโลก 9.45 ล้านบาท ตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และรัสเซีย

ส่วนสินค้าจีไอ ที่มีมูลค่าการตลาดสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ 1.ทุเรียนหมอนทองระยอง 20,530.8 ล้านบาท 2.ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา 6,661.2 ล้านบาท 3.น้ำตาลโตนดเมืองเพชร 4,813 ล้านบาท
4.กล้วยหอมทองปทุม 3,268 ล้านบาท 5.มะนาวเพชรบุรี 3,061.4 ล้านบาท 6.กุ้งก้ามกรามบางแพ จ. ราชบุรี 2,570 ล้านบาท 7.ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์ 2,360.5 ล้านบาท 8.ข้าวหอมมะลิพะเยา 1,969.7 ล้านบาท
9.ปลากะพงสามน้ำทะเลสาบสงขลา 1,579.2 ล้านบาท และ10. มะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร 1,460 ล้านบาท
ชุมชนท้องถิ่น หรือผู้ผลิตรายใด มีสินค้าอัตลักษณ์ ที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ ซึ่งเชื่อมโยงกับแหล่งภูมิศาสตร์ และภูมิปัญญาท้องถิ่น อยากนำสินค้ามาขึ้นทะเบียน สามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา โทร.สายด่วน 1368
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “ภูมิธรรม” ลุยแหล่งผลิต เล็งดัน “กาแฟน่าน” เป็นสินค้าจีไอ