

โครงการเงิน ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทคงมีผลเพียงเล็กน้อยต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ เนื่องจากการใช้จ่ายในโครงการโครงการเริ่มต้นในช่วงปลายปี

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่าเงินดิจิทัลวอลเล็ตคงมีผลเพียงเล็กน้อยต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ เนื่องจากการใช้จ่ายในโครงการโครงการเริ่มต้นในช่วงปลายปี จึงน่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจในปีหน้ามากกว่า
นายพิชัยกล่าวว่าทั้งนี้หน่วยงานเศรษฐกิจได้ประเมินว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้น่าจะเติบโตประมาณ 2.4%
อย่างไรก็ตามนายพิชัยไม่ตอบคำถามว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้จะถึงเป้าหมาย 3 % ตามที่รัฐบาลวางเป้าหมายหรือไม่ โดยนายพิชัยกล่าวเพียงว่าต้องทำหลายอย่างและต้องรอดู
ต้องทำโครงการโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต เพราะตอนนี้เศรษฐกิจกำลังวิกฤต
นายพิชัยกล่าวว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตเป็นนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไปเมื่อ 10 เดือนก่อน และเมื่อมาดูเหตุผลและความจำเป็นของนโยบายนี้ก็เนื่องจากประเทศไทยเผชิญปัญหาเศรษฐกิจโตต่ำเป็นระยะเวลานานซึ่งถ้าหากว่าไปดูในช่วง 10- 15 ปีที่ผ่านมานอกจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำปัญหาของหนี้ครัวเรือนยังสูงมากวันนี้หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ระดับ 90% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) หรือคิดเป็นหนี้ครัวเรือนถึงประมาณ 16 – 17 ล้านล้านบาท
หนี้ครัวเรือนทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ลำบากเพราะนอกจากประชาชนไม่มีกำลังซื้อแล้วผู้ผลิตและผู้ขายสินค้าก็เผชิญปัญหาที่ไม่ต่างกันมากเมื่อยอดขายน้อยผู้ผลิตก็ผลิตได้รับผลกระทบยอดการผลิตจึงตกต่ำไปด้วย
“สิ่งที่เราต้องคิดก็คือวันนี้หนี้สินของประชาชนนั้นมากเพราะฟุ่มเฟือย หรือว่าหนี้เยอะเพราะรายได้ไม่เพียงพอ รายได้ต่ำกว่ารายจ่าย ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือหนี้เพิ่มขึ้นมากเพราะรายได้ต่ำกว่ารายจ่าย ดังนั้นการจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจในภาวะแบบนี้ได้คือต้องแก้ปัญหาให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น” นายพิชัย กล่าว
หนี้สาธารณะต่อจีดีพีกำลังเดินเข้าสู่กรอบที่ตั้งไว้ คือไม่เกิน 70%
ในส่วนของการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างนั้นยอมรับว่าเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น แต่เรื่องของการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต้องใช้ระยะเวลา เพราะเป็นเรื่องที่ประเทศไม่มีความสามารถในการแข่งขันเพียงพอกับชาวโลกแต่ในวันนี้เรื่องของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องมีนโยบายการแก้ไขในส่วนที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้ารัฐบาลจึงต้องผลักดันนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตออกมาในช่วงนี้ซึ่งถือว่าเราคิดถูกแล้วเพราะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาขยายตัวได้แค่ 1.5% และทั้งปีนี้ผู้เชี่ยวชาญก็บอกว่าเศรษฐกิจจะโตแค่ 2.4% ซึ่งก็ยังถือว่าเศรษฐกิจยังเติบโตไม่พอและเป็นช่วงที่วิกฤตจริงแล้วยังมีปัญหาเรื่องโครงสร้าง ดังนั้นเมื่อทั้งในส่วนของภาคธุรกิจและภาคประชาชนที่เป็นเสาหลักทั้งกำลังแรงงานและการผลิตของประเทศในส่วนของภาคธุรกิจมีปัญหานโยบายนี้จึงต้องออกไปเป็นการกระตุ้นไม่ใช่การอุดหนุนซึ่งจะลงไปช่วยเหลือประชาชนอย่างทั่วถึง เกิดการกระจายตัวไปสู่หน่วยเศรษฐกิจที่เล็กในระดับอำเภอ 878 อำเภอทั่วประเทศ
“เมื่อสองเสาหลักคือภาคประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจเกิดปัญหา ทุกรัฐบาลต้องสร้างหนี้เพื่อเข้ามาช่วยเหลือดูแล ดังนั้นยอดหนี้รัฐบาลก็จะสูงขึ้นมาตามลำดับ ขณะนี้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ราว 60% และกำลังเดินเข้าสู่กรอบที่ตั้งไว้ คือไม่เกิน 70% ต่อจีดีพี หรือไม่เกิน 14 ล้านล้านบาทจากจีดีพี 20 ล้านบาท แต่วันนี้อยู่ที่ประมาณ 12 ล้านล้านบาท ใกล้แล้วครับ เราเหลือกระสุนอีกไม่เยอะ” นายพิชัย กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ดิจิทัล วอลเล็ต ธปท. ไม่ห่วงเรื่องวินัยการเงิน ย้ำดูแลระบบให้ปลอดภัย