ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คงประมาณการ จีดีพี ปี 2567 ไว้ที่ 2.6% โดยครึ่งปีหลัง 2567 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าช่วงครึ่งปีแรก จับตาผลกระทบเฉพาะหน้าจากปัญหาน้ำท่วม และเศรษฐกิจหลักชะลอตัว ขณะที่ การเลือกตั้งสหรัฐฯ จะมีผลกำหนดทิศทางสงครามการค้าระลอกใหม่
- จับตาผลกระทบเฉพาะหน้าจากปัญหาน้ำท่วม
- เศรษฐกิจหลักชะลอตัว
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้คงอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2567 ที่ 2.6% จากแรงหนุนการฟื้นตัวส่งออก ท่องเที่ยว
และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ เศรษฐกิจไทยครึ่งหลังของปีจะเติบโตที่สูงกว่าช่วงครึ่งปีแรก จากการส่งออกและการลงทุน และการท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากน้ำท่วมซึ่งประเมินว่าจะมีผลกระทบถึง 20,000 ล้านบาท และผลกระทบจะมากขึ้นถึง 30,000 ล้านบาท หากสถานการณ์เกิดรุนแรงในภาคกลางและภาคใต้ แนวโน้มเศรษฐกิจหลักของโลกที่ชะลอตัว รวมถึงอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอลงยังเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า
ด้านอุตสาหกรรมไทย มองว่าจะยังอยู่ท่ามกลางปัญหาน้ำท่วม / บาทผันผวนสูง / การแข่งขันกับสินค้าต่างประเทศ / ต้นทุนเพิ่มโดยเฉพาะจากค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งทั้งหมดนี้จะกระทบต่อภาคเกษตร การผลิต และบริการ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs สำหรับภาพทั้งปี 2567 ประเมินว่ากลุ่ม รถยนต์ ที่อยู่อาศัย และก่อสร้าง เป็นกลุ่มธุรกิจที่ลำบากจากด้านรายได้ที่หดตัว
- หนี้สินภาคครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง
ส่วนภาคการเงินนั้น โจทย์หลักยังคงเป็นเรื่องหนี้สินภาคครัวเรือน 90% ต่อ จีดีพี ในอีก 1-3 ปีข้างหน้า ทำให้การเติบโตสินเชื่อใหม่อยู่ในกรอบที่จำกัดกว่าเดิมมาก โดยสินเชื่อของระบบแบงก์ไทยปีนี้คงโตไม่เกิน 1.5% ท่ามกลางความสามารถในการกู้ยืมของลูกหนี้ที่ลดลง โดยผลสำรวจหนี้สินครัวเรือนประจำไตรมาส 3 ปี 2567 พบว่า
กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีสินเชื่อบ้าน หรือสินเชื่อรถเคยประสบปัญหาการชำระหนี้ ทำให้ต้องเข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงิน ซึ่งปัญหาจะเชื่อมโยงกับการมีรายได้ในระดับไม่สูง มีเงินออมน้อย จึงทำให้อ่อนไหวมากกว่าลูกหนี้กลุ่มอื่นๆ
ขณะที่ผลสำรวจครั้งนี้ พบผู้ที่พึ่งพาหนี้นอกระบบ 8.2% ซึ่งต้องการความช่วยเหลือในเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ วางแผนทางการเงิน และเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อใหม่ในระบบ นอกเหนือจากการแก้ที่ยั่งยืนด้วยการเพิ่มเสถียรภาพด้านรายได้ให้กับลูกหนี้ควบคู่ไปด้วย
ขณะเดียวกัน ภาครัฐก็ต้องมีมาตรการเพิ่มรายได้ การเข้าถึงสินเชื่อให้ประชาชน เพื่อช่วยลดหนี้สิน รวมทั้งภาครัฐต้องมีนโยบายเข้ามาเพิ่มจีดีพีให้เติบโตขึ้น โดยการปลดล็อกข้อกฎหมายที่ซับซ้อน เพื่อเอื้อให้ภาธุรกิจสามารถแข็งขันได้ ช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศ ถือเป็นการแก้หนี้อย่างยั่งยืน
- ขึ้นค่าแรงทำธุรกิจหันใช้เครื่องจักร
ส่วนประเด็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ต่อวัน หากสามารถดำเนินการได้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ นายบุรินทร์ ระบุว่า ธุรกิจที่ใช้จำนวนแรงงานมากจะเดินต่อไปไม่ได้ ในหลายกลุ่มธุรกิจจึงไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ อย่างไรก็ตาม จะเห็นการผลักดันให้ ภาคธุรกิจหันไปใช้เครื่องจักรมากขึ้น ซึ่งช่วยลดต้นทุนด้านแรงงาน
ด้านอุตสาหกรรมไทย มองว่าจะยังอยู่ท่ามกลางปัญหา จาก 4 เรื่องหลักในช่วงที่เหลือของปี ได้แก่ 1.น้ำท่วม โดยผลกระทบจะมากขึ้นอีกถ้าสถานการณ์เกิดรุนแรงในภาคกลางและภาคใต้ 2.บาทผันผวนสูง
3.การแข่งขันกับสินค้าต่างประเทศ 4.ต้นทุนเพิ่มโดยเฉพาะจากค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งทั้ง 4 เรื่อง กระทบเกษตร การผลิต และบริการ หลักๆ คือ SMEs สำหรับภาพทั้งปี 2567 ประเมินว่า รถยนต์ ที่อยู่อาศัย และก่อสร้าง เป็นกลุ่มธุรกิจที่ลำบากจากเครื่องชี้ด้านรายได้ที่หดตัว
- เฟดลดดอกเบี้ยกดดันไทยลดตาม
ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ได้ลดดอกเบี้ย 0.5% มากกว่าที่คาดไว้ และได้ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยอีก 2% ภายในปี 2569 เป็นการเริ่มต้นของวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้ง ช่วงปลายปี 2567
แต่ก็ยังไม่เห็นสัญญาณการลดอัตราดอกเบี้ยจากจาก ธปท.
ทั้งนี้ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก ปัญหาความไม่สงบทางการเมืองในโลก ควบคู่กับทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลกในขาลง คาดว่าจะส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างทองคำได้รับแรงหนุน ซึ่งที่ผ่านมาทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตระหนักถึงความผันผวนของสินทรัพย์ต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากช่วงโควิด ดังนั้น จึงยังต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน และกระจายความเสี่ยงให้ดีด้วย
ขณะที่ทางเศรษฐกิจจีน มีโอกาสขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายที่ 5% ในปี 2567 จากวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่สิ้นสุด และรัฐบาลจีนยังไม่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอย่างชัดเจน รวมถึงยังเผชิญการกีดกันทางการค้าจีนจากทางตะวันตก
สำหรับยุโรป เศรษฐกิจเยอรมนียังส่งสัญญาณความเปราะบาง รวมถึงผลกระทบจากความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ยังสร้างความไม่แน่นอนให้กับภาคธุรกิจในยุโรปเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจะต้องจับตา การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพราะจะส่งผลต่อนโยบายการค้าการลงทุน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ด้าน นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ประเด็นภูมิรัฐศาสตร์โลกจะเพิ่มแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมไทยในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะการผลิต เช่น การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยอาจเสี่ยงเผชิญการผลิตที่ล้นเกิน เพราะยากจะหวังพึ่งการส่งออก และตลาดในประเทศคงไม่โตได้มากเท่าที่คาด.
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เพิ่มเติมว่า ในระหว่างที่ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลกยังยืดเยื้อ รวมถึงปัญหาความไม่สงบทางการเมืองในโลกที่ยังคงอยู่ ควบคู่กับทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลกในขาลง
คาดว่า จะส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-Haven Assets) อย่างทองคำ ยังได้รับแรงหนุน ซึ่งที่ผ่านมา ทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตระหนักว่า ความผันผวนของสินทรัพย์ต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากช่วงโควิด
ดังนั้น จึงยังต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน และกระจายความเสี่ยงให้ดีด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : คลัง ปรับเพิ่มจีดีพี เศรษฐกิจไทยปี 67 ขยายตัว 2.7% จากเดิม 2.4%