

คลัง ปรับเพิ่มจีดีพี เศรษฐกิจไทยปี 67 ขยายตัว 2.7% จากเดิม 2.4% และขยับเร่งขึ้นจากปี 66 ที่ขยายตัวได้ 1.9% ต่อปี เหตุการ ปรับเพิ่มจีดีพี ครั้งนี้ ได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว-บริการ ที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นสำคัญ คาดปีนี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้าไทยจำนวน 36.0 ล้านคน มีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริป ปรับตัวดีขึ้นเป็น 47,000 บาท
- ชี้นักท่องเที่ยวเพิ่ม เป็นผลจากมาตรการวีซ่าฟรี เพิ่มเป็น 93 ประเทศ/ดินแดน ระยะเวลาพำนักไม่เกิน 60 วัน
- การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 4.5% การลงทุนภาคเอกชนคาดขยายตัว 3.6% ต่อปี
- ภาคการส่งออก ขยายตัวที่ 2.7% ต่อปี คาดอัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะอยู่ที่ 0.6% ต่อปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (26 ก.ค.67) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช. คลัง พร้อมด้วย นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ร่วมกันแถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทย ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่า จะขยายตัวที่ 2.7% โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 2.2% – 3.2% โดยจากเดิมที่ประมาณการไว้ ว่าจะขยายตัวที่ 2.4% ทั้งนี้ ยังขยายตัวจากปี 2566 ที่ขยายตัวที่ 1.9%
ทั้งนี้ เป็นเพราะได้รับแรงสนับสนุนจากภาคบริการและการท่องเที่ยว ที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นสำคัญ โดยพบว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณดีขึ้น สะท้อนได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริง ขยายตัวต่อเนื่อง 2 ไตรมาส และนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 26.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน
โดยคาดว่า ภาคการท่องเที่ยวในปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ เดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 36.0 ล้านคน และมีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริป ของนักท่องเที่ยวต่างประเทศปรับตัวดีขึ้นเป็น 47,000 บาทต่อคนต่อทริป
ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการ ยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่าฟรี) เพิ่มเป็น 93 ประเทศ/ดินแดน ระยะเวลาพำนักไม่เกิน 60 วัน ส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่การบริโภคภาคเอกชน จะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 4.5% ต่อปี โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 4.0% -5.0%) การลงทุนภาคเอกชนคาดว่า จะขยายตัวที่ 3.6% ต่อปี มีช่วงคาดการณ์ที่ 3.1% – 4.1%
สำหรับภาคการส่งออกสินค้า จะขยายตัวที่ 2.7% ต่อปี มีช่วงคาดการณ์ที่ 2.2% – 3.2% ซึ่งขยายตัวได้ในไตรมาสที่ 2 และมูลค่าการนำเข้าสินค้า จะขยายตัวที่ร้อยละ 3.1% ต่อปี มีช่วงคาดการณ์ที่ 2.6% – 3.6% โดยเฉพาะสินค้าทุนที่คาดว่า จะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามการลงทุนภาคเอกชนที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ ผลประมาณการ การขยายตัวทางเศรษฐกิจครั้งนี้ ได้ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับผลประมาณการเศรษฐกิจไทย ณเม.ย. 2567 ที่ 2.4% เนื่องจาก 1.การส่งออกสินค้ามีสัญญาณขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ รวมถึงอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าสำคัญ คาดว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้นตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 3.2%
2.จำนวนและรายได้ ที่ได้รับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศสูงกว่าที่คาดการณ์ สะท้อนผลตอบรับที่ดี จากมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวของภาครัฐ
3.การเบิกจ่ายภาครัฐ ที่ดีกว่าที่คาดการณ์ จากการเตรียมความพร้อมเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐ และมีทิศทางเร่งขึ้นต่อเนื่อง ในช่วงท้ายของปีงบประมาณ 2567
สำหรับในด้านเสถียรภาพภายในประเทศอยู่ในระดับมั่นคง โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะอยู่ที่ 0.6% ต่อปี มีช่วงคาดการณ์ที่ 0.1% – 1.1% ตามการปรับตัวลดลงของราคาสินค้าอาหารบางกลุ่ม อีกทั้งราคาสินค้าในหมวดพลังงานที่ลดลง จากมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ
ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ ดุลบริการมีแนวโน้มจะเกินดุล ตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะเกินดุล 11.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 2.4% ของจีดีพี
“ผลประมาณการนี้ ไม่ได้นับรวมผลคาดการณ์ ที่เกิดจากโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ต่อเศรษฐกิจไทย โดยกระทรวงการคลังได้ประเมินเบื้องต้น ณ วันที่ 10 เม.ย. 2567 ว่าหากพิจารณาเฉพาะโครงการดิจิทัล วอลเล็ต จะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจประมาณ 1.2 – 1.8% ตลอดทั้งโครงการฯ โดยขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของเงิน เงื่อนไขโครงการฯ จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการฯ และพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้รับสิทธิเป็นสำคัญ”
อย่างไรก็ตาม ยังควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด อาทิ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่าง ๆ ที่เริ่มรุนแรงมากขึ้น อาจเป็นข้อจำกัดและส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป เช่น สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานให้ปรับตัวสูงขึ้น การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ และความกังวลเรื่องข้อพิพาททะเลจีนใต้ เกี่ยวกับ
การอ้างกรรมสิทธิ์หลังมีการซ้อมรบของกองทัพเรือจีนและรัสเซียในบริเวณดังกล่าว ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้าหลักและปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
รวมถึงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่, การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย โดยเฉพาะประเทศจีนจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่จะบั่นทอนการใช้จ่ายในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในช่วงที่เหลือของปี 2567 ได้แก่ การใช้จ่ายภาครัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งรายจ่ายลงทุนที่ต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายในทุกหน่วยงาน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ประเทศ โดยเฉพาะในช่วง High Season
รวมถึงการเร่งรัดการลงทุนของโครงการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว ซึ่งสอดรับกับวิสัยทัศน์ 8 ด้านภายใต้กรอบนโยบาย Ignite Thailand ของรัฐบาล โดยการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางในหลาย ๆ ด้าน ด้วยการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจกระทรวงการคลัง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : การส่งออกของไทย ในเดือนมิถุนายน 2567 หดตัวร้อยละ 0.3