GC ตั้งเป้าปี 67 เติบโต 10% วางกลยุทธ์ปรับพอร์ตธุรกิจรับมือเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลง

พีทีที โกลบอล เคมิคอล ประเมินปี 67 เศรษฐกิจไทยเติบโตดีขึ้นแต่ไม่มาก ตั้งเป้าธุรกิจโต 10% เดินหน้าบริหารจัดการภายในองค์กรต่อเนื่อง

  • เผยปีหน้าไม่มีแผนเซ็นสัญญาดีลซื้อกิจการ
  • คาดกลุ่มธุรกิจโอเลฟินส์-ธุรกิจโพลิเมอร์ ยังเติบโตเป็นที่ต้องการในตลาด
  • ผลดำเนินงาน Q 3 ปี 66 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,426.67 ล้านบาท

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า ในปีหน้า 67 GC ตั้งเป้าหมายเติบโตไว้ที่ 10% ซึ่งแผนธุรกิจที่จะเกิดขึ้นคือการปรับพอร์ตธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ธุรกิจดำเนินการอย่างคล่องตัว เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศ และเศรษฐกิจโลก โดยอาจมีทั้งการขายบ้างธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนที่ไม่สูง บริษัทไม่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงอาจมีการซื้อกิจการเข้ามาบ้างเป็นดีลขนาดเล็ก ซึ่งในปีหน้าไม่มีแผนที่จะเข้าลงทุนซื้อกิจการดีลขนาดใหญ่แต่อย่างใด นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าต่อในการบริหารจัดการภายในองค์กร การจัดการสต็อกเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพ โดยในปี 66 บริษัทตั้งเป้าลดค่าใช้จ่าย 6,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งปี 67 ก็ตั้งเป้าไว้ใกล้เคียงกับปี 66 เช่นกัน นอกจากนี้ GC ก็มีแผนขยายผลิตภัณฑ์ไปในกลุ่มประเทศใหม่ๆ อาทิ ออสเตรเลีย แอฟริกา เป็นต้น

นายคงกระพัน กล่าวด้วยว่า ในส่วนกลุ่มธุรกิจโอเลฟินส์และกลุ่มธุรกิจโพลิเมอร์ ในปีหน้ามีทิศทางที่ดีขึ้น คาดจะเติบโตตามความต้องการใช้งานมากขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ในส่วนของธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นโดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่นปี 67 ประเมินว่าจะมีทิศทางที่ลดลง

“ปี 67 คาดว่าเศรษฐกิจโดยรวมของไทยจะมีการเติบโตที่ดีกว่าปี 66 ไม่มากนัก โดยต้องติดตามระบบเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจพี่ใหญ่ของเอเชียอย่างจีนว่าเศรษฐกิจจากนี้จะเป็นอย่างไร เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็ยังมีการเติบโตไปได้ จากปัญหาสงครามความขัดแย้งทั้งรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอลกับฮามาส ต่างส่งผลกระทบต่อด้านพลังงานและระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ก็ยังไม่มีท่าทีที่จะจบในเร็วๆนี้”

นายคงกระพัน กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 66 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,426.67 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 13,404.05 ล้านบาท เป็นผลมาจากมีรายได้จากการขายรวม 160,392 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสที่ 2 ปี 66 อีกทั้งปริมาณการขายในภาพรวมของ GC ปรับตัวสูงขึ้น สอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นของกลุ่มธุรกิจโอเลฟินส์ และธุรกิจโพลิเมอร์ปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสนี้

ทั้งนี้ ท่ามกลางสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวในระดับสูง บริษัทได้ใช้กลยุทธ์ดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 หรือ Olefins 2 Modification Project ซึ่งทำให้บริษัทสามารถใช้โพรเพน เป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เพิ่มขึ้น โดยโครงการดังกล่าวได้เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารต้นทุนของบริษัทได้อย่างดี

อย่างไรก็ตาม ในส่วนจของผลประกอบการช่วง 9 เดือนแรกของปี 66 GC มีผลขาดทุนสุทธิ 4,082.29 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 56.71% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 9,430.13 ล้านบาท