ดีอี เผยข่าวปลอมสุดฮอตที่ประชาชนสนใจสูงสุด เป็นข่าวปลอมด้านสุขภาพ

ดีอี เผยข่าวปลอมที่ประชาชนให้ความสนใจสูงสุด คือ ข่าวปลอมด้านสุขภาพ “มีติ่งเนื้อขึ้นบริเวณคอ แขน ข้อมือ เสี่ยงป่วยเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และไขมันในเลือดสูง” เตือนประชาชน ตรวจสอบข้อมูลดีก่อนแชร์ข้อมูล

  • ข่าวปลอมมีติ่งเนื้อขึ้นบริเวณคอเสี่ยงป่วยเป็นโรคอ้วน
  • เตือนประชาชน ตรวจสอบข้อมูลดีก่อนแชร์ข้อมูล

นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ เปิดเผยว่า ผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ระหว่างวันที่ 8-14 มีนาคม 2567 พบข้อความที่เข้ามาทั้งหมด 1,199,812 ข้อความ โดยมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) ทั้งสิ้น 143 ข้อความ

ทั้งนี้ ช่องทางที่มีการพบเบาะแสมากที่สุด คือ ข้อความที่มาจาก Social Listening จำนวน 128 ข้อความ ตามมาด้วยการแจ้งเบาะแสผ่าน Line Official จำนวน 14 ข้อความ และแจ้งเบาะแสผ่าน Facebook จำนวน 1 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบทั้งหมด 122 เรื่อง

โดยข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชน มากที่สุด 10 อันดับ ได้แก่

อันดับที่ 1 : เรื่อง มีติ่งเนื้อขึ้นบริเวณคอ แขน ข้อมือ เสี่ยงป่วยเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และไขมันในเลือดสูง

อันดับที่ 2 : เรื่อง ผู้อื่นรู้ยอดเงินในธนาคารได้ หากรู้เบอร์มือถือที่ผูกพร้อมเพย์

อันดับที่ 3 : เรื่อง ผู้สูงอายุรับเงิน 2 รอบ คนละ 1,300 บาท โอนทันที 8-13 มี.ค. 67

อันดับที่ 4 : เรื่อง ขัดฟันด้วยผงถ่านคาร์บอน ช่วยทำให้ฟันขาว

อันดับที่ 5 : เรื่อง สัญลักษณ์ Green Industry บนสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาอิสลาม

อันดับที่ 6 : เรื่อง กรมขนส่งทางบกเปิดลงทะเบียนทำใบขับขี่ออนไลน์ ผ่านเพจ DLT Smart Queue ไม่ต้องเสียเวลาไปดำเนินการเอง

อันดับที่ 7 : เรื่อง เติมน้ำมันพืชแทนน้ำมันดีเซล ช่วยให้รถยนต์ประหยัดน้ำมันมากขึ้น

อันดับที่ 8 : เรื่อง หากขับรถต่ำกว่า 90 กม. แช่เลนขวา โดนแจ้งจับได้

อันดับที่ 9 : เรื่อง เพจเฟซบุ๊กสำนักงานการไฟฟ้า แนะนำขั้นตอนการขอคืนเงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้า

อันดับที่ 10 : เรื่อง แบงก์พันปลอมหมายเลขเดียวกันจากต่างประเทศระบาดเข้าไทย

“กระทรวงดีอี ขอให้ประชาชนตระหนักรู้เท่าทันข่าวปลอม ที่ถูกแพร่กระจายบนสื่อออนไลน์/โซเชียล ซึ่งหากขาดความรู้เท่าทัน และมีการส่งต่อข้อมูลข่าวปลอมเหล่านี้ ก็จะทำให้ได้รับข้อมูลผิดๆ และส่งผลกระทบกับประชาชนที่หลงเชื่อข่าวปลอมดังกล่าว”