

อีอีซี จับมือ 5 หน่วยงานลงนามบันทึกความร่วมมือ ศึกษาแนวทางทางการสนับสนุนให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนสามารถจ่าย ไฟฟ้าพลังงานสะอาด ให้กับผู้ประกอบกิจการในเขต อีอีซี คาดได้ข้อสรุปก่อนสินปี 67 พร้อมเดินหน้าเดินก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าทันที คาดปี 69 พร้อมจ่ายไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้กิจการในอีอีซีได้

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือ อีอีซี เปิดเผยว่า อีอีซีได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย สมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้า มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ)เพื่อศึกษาแนวทางการสนับสนุนให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนสามารถจ่ายไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้กับผู้ประกอบกิจการในเขตอีอีซีผ่านระบบโครงข่ายไฟฟ้าใหม่
โดยจะศึกษาและพิจารณาด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ระเบียบการขออนุญาตการตั้งระบบโครงข่ายไฟฟ้า การขอใช้ที่ดินในการสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้า และระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการศึกษาถึงต้นทุนสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้า การประเมินต้นทุนและผลประโยชน์เชิงสังคม เพื่อจะเป็นต้นแบบให้เกิดการคำนวนต้นทุนสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ในพื้นที่อื่น ๆ เป็นต้น
คาดปี 69 สามารถผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดป้อนนักลงทุน

โดยจะเริ่มศึกษาตั้งแต่เดือนส.ค. – พ.ย. 67 เป็นระยะเวลา 4 เดือน หลังจากนั้นจะเริ่มสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าต่อไป คาดว่าในปี 69 สามารถผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดเพื่อจ่ายให้กับผู้ประกอบธุรกิจในเขตพื้นที่อีอีซีได้
นายวีระเดช เตชะไพบูลย์ นายกสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (อาร์อี 100) กล่าวว่า ในอนาคตพลังงานหมุนเวียนจะกลายเป็นพลังงานหลักของระบบพลังงานโลก จะมีบทบาทที่สำคัญมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การสร้างงานที่มั่นคงและยั่งยืน
หากไทยจะก้าวเข้าสู่เป้าหมาย Net Zero จะต้องพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนได้ 90%
ทั้งนี้หากไทยจะก้าวเข้าสู่เป้าหมาย Net Zero จะต้องพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนได้ 90% ซึ่งในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 หรือแผนพีดีพี 2024 ได้วางไว้เป้าหมายการการผลิตพลังงานหมุนเวียนไว้ 50% หรือ 3-4 หมื่นเมกะวัตต์ มีแบตเตอรี่หรือระบบจัดเก็บไฟฟ้าเพียง 1 หมื่นเมกะวัตต์ และต้องใช้ระยะเวลา 13-14 ปี ซึ่งมองว่ายังช้าไป และจากการวิเคราะห์พบว่าหากจะผลิตพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 3-4 หมื่นเมกะวัตต์ แบตเตอรี่จะต้องเพิ่มขึ้นอีก 2-3 เท่า ซึ่งจะต้องเพิ่มเงินลงทุนเข้าไปอีกภายใน 14 ปีจากนี้ หรือเฉลี่ยปีละ 1 แสนล้านบาท
โดยครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ดังนั้นทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกัน ซึ่งภาครัฐอาจจะไปดูแลด้านโครงสร้างเครือข่าย ระบบผันผวน และแบตเตอรี่ที่จะต้องนำไปใส่ รวมไปถึงการจัดระบบสมาร์ทกริด จึงเชื่อว่าการศึกษาของทีดีอาร์ไอครั้งนี้จะนำไปก้าวพลังงานสะอาดและเป็นประโยชน์กับชนรุ่นหลังมีชีวิตในโลกเขียวสวยงาม
“ถ้าจะผลิตพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 90% จะต้องใช้เวลาถึง 20 ปีแต่ตอนนี้ไทยมีความสามารถในการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนแค่ 4-5 ชม.ต่อวัน ดังนั้นหากที่ให้มีพลังงานเพียงพอตลอด 24 ชม. จะต้องผลิตไฟฟ้าให้ได้มากกว่าไฟฟ้าที่ผลิตจากฟอสซิลให้ได้มากกว่า 4-5 เท่า หรือเพิ่มขึ้นมาเป็นแสนเมกกะวัตต์ และใช้เงินลงทุนเพิ่มอีกราว 1.5 ล้านล้านบาท ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านมหาสารแต่ก็เป็นโอกาสในการลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ” นายวีระเดช กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : อีอีซี จุดประกายความหวังเด็กไทย ร่วมพัฒนาชุมชนบ้านเกิด