นาย เผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไทยที่ขยายตัวได้ 3% ว่าถือว่าเป็นระดับการเติบโตที่น่าพอใจ ซึ่งในไตรมาสที่ 4 และ เศรษฐกิจไทย ในปีหน้า2568 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ต่อเนื่องเข้าใกล้ระดับศักยภาพของเศรษฐกิจ (Potential Growth) ที่มีการคาดการณ์ไว้ ตอนนี้เราเห็นตัวเลขการลงทุนภาครัฐ การท่องเที่ยวต่างๆที่ขยายตัวได้ดีถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องมีการรักษาโมเมนตัมการเติบโตให้ต่อเนื่อง
“ตัวเลขในไตรมาสที่ 3 ออกมาดีมาก ในไตรมาสที่ 4 ก็จะดีขึ้นจากมาตรการต่างๆที่เราได้วางไว้ ซึ่งอยากให้ดูตัวเลขจริงของจีดีพีที่จะออกมาแต่กระทรวงการคลังยังคาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 4 จีดีพีจะขยายตัวได้ 4.3%”
ต่อข้อซักถาที่ว่าในปี 2568 จะต้องมีมาตรการทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ เพราะสภาพัฒน์ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวไม่ถึง 3% นายเผ่าภูมิบอกว่าในปีหน้าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะโตต่อเนื่อง เมื่อไปดูหลายๆปีเศรษฐกิจเราขยายตัวได้ต่อเนื่องเป็นมิติที่ดี ในระยะยาวเราต้องยกระดับเศรษฐกิจไทยเพื่อให้มีการลงทุนมากขึ้นเพื่อให้มีการเติบโตในระยะยาว
ส่วนความเสี่ยงจากนโยบายทรัมป์นั้น ครม.ได้มีการหารือกันซึ่งมีทั้งเรื่องความเสี่ยงที่เป็นเรื่องลบ และเป็นโอกาสของเศรษฐกิจไทยซึ่งความเสี่ยงนั้นก็ต้องมีมาตรการที่เตรียมไว้ แต่ในเรื่องของโอกาสนั้นเราก็เห็นการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ซึ่งประเทศคู่ค้าของเรามีกำลังซื้อมากขึ้นทำให้ส่งผลบวกมายังเศรษฐกิจของเราด้วย ซึ่งต้องมองทั้งสองด้านประกอบกัน
แหล่งข่าวจากที่ประชุมกล่าวว่าในที่ประชุมครม. นายดนุชา พิชยนันท์เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รายงานในที่ประชุมว่าต้องมีการจับตาผลกระทบจากนโยบายของสหรัฐอเมริกา เมื่อนายโดนัล ทรัมพ์ขึ้นมาบริหาร โดยประเด็นที่ควรจับตาใกล้ชิดประกอบด้วย อัตราแลกเปลี่ยนที่อาจจะมีความผันผวนมากขึ้น
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า นายกฯรัฐมนตรีได้กล่าวในที่ประชุมว่าจากการได้พูดคุยกับนายโดนัล ทรัมป์ ทำให้ประเมินได้ว่าจะมีแนวโน้มการลงทุนจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาไทยมากขึ้นหลังการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของนายโดนัลด์ ทรัมป์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : สภาพัฒน์ เสนอแนะรัฐบาลหากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบต่อไป ต้องอัดฉีดเงินแบบพุ่งเป้า
