“พิชัย”ปาฐกถาพิเศษในงานเดลินิวส์ทอล์ก2024เผยไทยมีศักยภาพเติบโตได้ถึง3.5%เชื่อสามารถปรับเปลี่ยนได้แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไรเศรษฐกิจไทย จะอยู่ในภาวะใกล้วิกฤต พิชัย ชี้ถึงเวลามองหาโอกาสในตลาดใหม่อย่างตะวันออกกลาง
วันนี้ (21 ส.ค.67) นายพิชัย ชุนหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้ร่วมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ถอดรหัส…โอกาสเศรษฐกิจไทย” ภายในงาน เดลินิวส์ ทอล์ก 2024 “THAILAND : FUTURE AND BEYOND…ก้าวต่อไปของประเทศไทย” กล่าวว่า จากกรณีที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ได้เปิดข้อมูลภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ปี 67 ที่ผ่านมาขยายตัว 2.3% และไตรมาส 1 ปี 67 ที่ผ่านมาขยายตัว 1.6% ยังคาดการณ์ทั้งปี 67 จะขยายตัวได้ถึง 2.5%
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้น จากในปีที่ผ่านมา ที่ขยายตัว 1.9% ซึ่งหากย้อนหลังไป 20 ปี จีดีพีของประเทศไทยขยายตัว 1.9-2% เมื่อย้อนไปอีก 35 ปี จีดีพีขยายตัว 6-10% โดยศักยภาพไทย ต้องเติบโตกว่านี้ คือที่ระดับ 3.5% อีกทั้งมองว่า ศักยภาพของประเทศไทยสามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไรเลย เศรษฐกิจไทยก็จะอยู่ในภาวะใกล้วิกฤต
นายพิชัย กล่าด้วยว่า โครงสร้างเศรษฐกิจไทยปัจจุบัน พึ่งพาการส่งออก 70% แต่เมื่อการส่งออก และเกิดการบริโภคก็จะไม่เป็นปัญหา เพราะถ้าเกิดการผลิต ก็จะเกิดการจ้างงาน และการบริโภคตามมา ซึ่งในเวลานี้ การส่งออกเหลือสัดส่วน 65% ต่อจีดีพี
โดยในสัดส่วนที่หายไป 5% เท่ากับค่าจีดีพีมากถึงกว่า 1% ที่หายไป ดังนั้นเท่ากับว่า การผลิตของประเทศไทย ไม่สามารถตอบสนองตลาดได้ ไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ เพราะทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไปเร็ว ซึ่งหมายถึงประเทศไทยปรับตัวไม่ทัน
ในขณะที่ ภาคเกษตรกรรม มีสัดส่วนต่อจีดีพี 10% แม้ปัจจุบันลดลงเหลือ 6% เพราะเหตุจากการปรับตัวไม่ทัน และหากดูโครงสร้างปิรามิด ด้านบนสุดรายได้สูง รายได้ปานกลาง และฐานรากผู้ใช้แรงงาน จะทำอย่างไรให้แก้ปัญหาและให้ส่วนล่างเติบโต ถ้ายังไม่สามารถสร้างโอกาสไปพร้อมกันได้ จะไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของประเทศไปได้
“ปัจจุบันเศรษฐกิจโลก มีการแบ่งข้างชัดเจน มีการย้ายฐานการผลิต อาจเป็นโอกาสที่ประเทศไม่แบ่งข้างอย่างชัดเจนเช่น ประเทศไทย ด้วยจุดแข็งทางยุทธศาสตร์ของพื้นที่ ทะเลจีนใต้ เชื่อมแปซิฟิก อันดามัน ควรสร้างโอกาสบุกไปตลาดใหม่ อาทิ ตะวันออกกลาง เพราะมีเม็ดเงินอยู่มาก” นายพิชัย กล่าว
ทั้งนี้ ในปัจจุบันประเทศไทยได้สนับสนุนเรื่องสิ่งแวดล้อม และกรีน เช่น กองทุนรวมวายุภักษ์ 100,000 กว่าล้านบาทและกองทุน Thai ESG สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษี 300,000 บาท
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า แม้ประเทศไทย จะมีจีดีพีเติบโตที่ 1.9% แต่กลับมีสภาพคล่อง ในประเทศเหลือเยอะ เหตุเพราะเมื่อไม่มีการลงทุน หรือลงทุนน้อย เงินสดจะมีมาก คืนหนี้แล้ว ก็ยังเหลือเงินอยู่ และมีโอกาส มาลงทุนหุ้นต่อ แต่ถ้าไม่รีบทำ หรือไม่รีบเดินหน้าในเรื่องการลงทุน จะยิ่งแก้ไขยากขึ้น
นอกจากนี้ ในส่วนภาพอสังหาริมทรัพย์ ในปัจจุบันมีการลงทุนที่ใหญ่มากขึ้น แต่มีปัญหาในเรื่องการขายที่ดิน ที่จะเป็นเพียงการให้เช่า 30 ปีเท่านั้น และเงื่อนไขการเช่า ก็จะมีปัญหาตลอดเวลา
ดังนั้นเมื่อต่างชาติ เข้ามาเช่าที่ดินในการดำเนินธุรกิจ จะให้สิทธิการเช่าเพียง 30 ปี เชื่อว่าไม่ตอบโจทย์ จุดนี้ต้องเช่าได้มากกว่า 30 ปี และต้องให้สิทธิเสมือนใกล้เคียงความเป็นเจ้าของ เพื่อให้สามารถทำธุรกิจ รวมถึงการทำธุรกรรมกับสถาบันการเงิน ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ดังนั้นที่ผ่านมาทางกระทรวงการคลัง จึงพยายามออกกฎหมาย ทรัพย์อิงสิทธิเพื่อเอื้อในเรื่องดังกล่าว
“ทั้งหมดที่กล่าวมา เกิดขึ้นกับประเทศไทย ก็จะเห็นปัญหา และอะไรคือโอกาส ถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้ได้ ปรับเปลี่ยนได้ประเทศไทย ก็จะไม่แพ้ใคร ประเทศไทยมีพื้นฐานที่ดี เป็นโอกาส การหยิบฉวยโอกาสเกิดขึ้นได้ เป็นจริงขึ้นได้ สร้างการเจริญเติบโตประเทศได้ การนำสิ่งนี้ มากำหนดวิสัยทัศน์ของประเทศ เกิดจากความฝัน นำมาปฏิบัติ ให้เกิดขึ้น และประสบผลสำเร็จ สู่ความยั่งยืนได้” นายพิชัย กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ‘บีโอไอ’ ชี้สามปัจจัยหลักส่งผลลงทุนความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ภาวะโลกร้อน และกติกาภาษีใหม่