‘บีโอไอ’ ชี้สามปัจจัยหลักส่งผลลงทุน ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะโลกร้อนและกติกาภาษีใหม่ พร้อมเร่งพัฒนาแรงงานรับอุตสาหกรรมใหม่ ดึงต่างชาติลงทุนไทยแข่งเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวในหัวข้อ “ฝ่าลมต้านเศรษฐกิจ…สู่การเติบโตที่ยั่งยืน” ว่า เมื่อพูดถึงภาคเศรษฐกิจต่างประเทศมี 3 เสาหลัก ที่เป็นที่มาของแหล่งรายได้ของประเทศไทย คือ การลงทุนการ การส่งออก และการท่องเที่ยว ซึ่งการลงทุนเป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
“ตอนนี้อยู่ในช่วงสำคัญของเศรษฐกิจไทย จากที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีพิชัย ชุณหวชิร บอกว่า ไทยมีการพัฒนาครั้งใหญ่เมื่อ 30 ปี ที่แล้ว มีโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออกหรืออิสเทิร์นซีบอร์ด พัฒนาท่าเรือน้ำลึกนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ทำให้มีเคลื่อนการลงทุนเข้ามามากในช่วงนั้น ตอนนี้ถือเป็นโอกาสทองของไทยเป็นทศวรรษที่ไทยจะสร้างฐานการผลิตใหม่ ที่เราจะเติบโตต่อไปได้ในช่วง 10 ปี ข้างหน้า”
3 ปัจจัยสำคัญส่งผลต่อทิศทางการลงทุน
ทั้งนี้หากมองไปข้างหน้าจากนี้ไป มี 3 ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อทิศทางการลงทุน คือ 1.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ แต่ไทยมีความเป็นกลางกับทุกประเทศ 2.ภาวะโลกร้อน เพราะเวลาส่งออกนั้นไม่ได้ตั้งเป้าจำนวนรายได้หรือกำไรในเชิงธุรกิจเท่านั้น แต่มีเป้าที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนไดออกไซด์ และเป้าที่จะใช้พลังงานสะอาดกี่เปอร์เซ็นซึ่งเป็นทิศทางในการดำเนินธุรกิจในระยะข้างหน้า และ 3. กติกาภาษีใหม่ ประเทศส่วนใหญ่จะเปลี่ยนในปี 2568 ที่จะเปลี่ยนทิศทางการลงทุน โดยทั้งหมดนี้จะมีผลต่อทิศทางการลงทุนในระยะข้างหน้า
ส่วนจุดแข็งของประเทศไทย มีหลายเรื่องในสายตานักลงทุน ทั้งความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพสูง มีระบบโลจิสติกที่ดี ท่าเรือที่มีคุณภาพ อุตสาหกรรมที่มีคุณภาพสูงมากกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ และซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง ทั้งยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี มีบุคลากรที่มีคุณภาพ ตลาดเชื่อมทั้งภายในประเทศตลาดที่เชื่อมโยงกับภูมิภาคได้ สิทธิประโยชน์ที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่การลงทุนสีเขียว รวมทั้งการวางตัวของประเทศไทยที่เป็นกลาง และความน่าอยู่น่าเที่ยวของไทย ทำให้คนต่างชาติอยากมาทำงานในไทย
รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับทั้งโรงเรียนนานาชาติกว่า 200 แห่ง และโรงพยาบาลมาตรฐานโลก อย่างไรก็ตามจุดแข็งที่ไทยมียังไม่เพียงพอ เพราะการแข่งขันในภูมิมีสูงทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม ซึ่งต่างต้องการแย่งชิงโครงการที่มีคุณภาพเข้าสู่ประเทศตัวเอง
ต้องทำ 5 เรื่องเพิ่มความสามารถในการแข่งขันดึงนักลงทุน
ดังนั้นเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาอยู่ในไทย จะต้องทำ 5 เรื่อง คือ
1.เร่งผลักดันพลังงานสะอาดในราคาที่เหมาะสม
2.เร่งการทำเอฟทีเอที่จะทำไทยสามารถเปิดตลาดการค้าการลงทุนแบบเสรีได้ ปัจจุบันมีเอฟทีเอ 15 ฉบับ 19 ประเทศ ขณะที่เวียดนามมีมากกว่า 50 ประเทศ
3.การสร้างบุคคลากรเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะที่เป็oเทคเบส (tec base) อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ แผนวงจรอินทรอนิกส์ที่เข้ามาก
4.สร้างความสะดวกในแง่ของการประกอบธุรกิจและที่อยู่อาศัย เป็นหัวใจสำคัญที่ดึงบริษัทต่างชาติอยากมาลงทุนในไทย และ
5.การขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมรงรับการเติบโต “ถ้าเราสามารถทำทั้งหมดนี้ได้ จะนำมาสู่โอกาสในการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ต่อไทย
7 สาขาที่ไทยต้องสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ให้ได้
นายนฤตม์กล่าวว่า มี 7 สาขา สำคัญ ที่จะประเทศไทยจะต้องอาศัยจังหวะช่วงนี้ในการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ให้ได้ แยกเป็น 2 ตัวแรกเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่สำคัญ ได้แก่ เซมิกคอนดักเตอร์ และแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ ได้ หากไทยสามารถทำได้จะทำให้จะทำให้มีความยั่งยืนในการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ในระยะยาว
ส่วนอีก 5 อุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่ การผลิตไฟฟ้าพลังานสะอาด อีวี อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดิจิทัล และการเป็นศูนย์กลางระหว่างประเทศ เพื่อทำให้ไทยเติบโตต่อเนื่องในอนาคตได้”
นายนฤตม์ กล่าว่า การลงทุนของไทยเติบโตมาในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมา โดยครึ่งปีแรกของปี 2567 มีผู้ขอรับคำส่งเสริม 1,412 โครงการ เพิ่มขึ้น 60% มูลค่า 458,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% โดยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน เกษตรและแปรรูปอาหาร ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ดิจิทัล ดาต้าเซ็นเตอร์ และคลาวเซอร์วิส ขณะที่บริษัทต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทย ได้แก่ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : บีโอไอ มอบบัตรส่งเสริมให้บริษัท ฮุนได