“กกพ.” ยันดูแล ค่าครองชีพ ประชาชนคู่ความมั่นคงระบบไฟฟ้า

กกพ. ค่าเอฟที
นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)


“กกพ.” ยันดูแล ค่าครองชีพ ประชาชนคู่ความมั่นคงระบบไฟฟ้า ลั่นสุดอั้น เผยบาทอ่อนต่อเนื่อง ราคาก๊าซธรรมชาติเหลวที่ขยับสูงขึ้น ดันราคาก๊าซพุ่ง เผย กกพ. จะเปิดรับฟังความเห็นค่าเอฟที งวดสุดท้าย วันที่ 12 – 26 ก.ค.67

  • เผยการจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง กฟผ. และมูลค่าส่วนต่างราคาก๊าซ กับราคาก๊าซที่เรียกเก็บ ก.ย. – ธ.ค.66
  • ตามมติ ครม.วันที่ 18 ก.ย. 66 (AFGas) จำนวนเงิน 15,083.79 ล้านบาท ส่งผลให้ทางเลือกค่าเอฟทีที่ต่ำสุดที่ 86.55 สตางค์ต่อหน่วย
  • พร้อมนำค่าเอฟทีประมาณการ แนวทางการจ่ายภาระต้นทุนให้ กฟผ. ไปรับฟังความคิดเห็นวันที่ 12-26 ก.ค.67

นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า จากแนวโน้มค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนตัวลงจากงวดก่อนหน้า 1.29 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ (งวด พ.ค. – ส.ค. 2567) เป็น 36.63 บาทต่อเหรียญสหรัฐ การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศและต่างประเทศ และการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินแม่เมาะ ซึ่งมีต้นทุนราคาถูก มีความพร้อมในการผลิตลดลง และสถานการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติเหลวแบบสัญญาจร (LNG Spot) ในตลาดโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากงวดก่อนหน้า 3.2 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ตามสถานการณ์ ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น

เนื่องจากกำลังเข้าสู่ฤดูหนาวในปลายปี เป็น 3 สาเหตุหลัก ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ส่งผลให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้น เมื่อรวมกับการทยอยคืนหนี้ค่าเชื้อเพลิงค้างชำระ ในงวดก่อนหน้า ส่งผลให้ค่าไฟในช่วงปลายปีนี้ อาจจะต้องปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) ขึ้นในระดับ 46.83-182.99 สตางค์ต่อหน่วยเมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บในงวด ก.ย. – ธ.ค. 2567 เพิ่มขึ้นเป็น4.65-6.01 บาทต่อหน่วยจากงวดก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย

“ในการพิจารณาค่าไฟฟ้าผันแปร หรือค่าเอฟที และค่าไฟฟ้า สำหรับงวดเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2567 กกพ. ตระหนักดีและคำนึงถึงผลกระทบทั้งในส่วนของผลกระทบของค่าไฟฟ้า ต่อค่าครองชีพของประชาชน และความสำคัญในการรักษาไว้ซึ่งความมีเสถียรภาพ และความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศ

เนื่องจากไฟฟ้า เป็นปัจจัยหลักที่สำคัญในการดำรงชีพแล้ว ไฟฟ้ายังเป็นปัจจัยหลักที่หนุนเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้า และการลงทุนของประเทศ ซึ่งในกระบวนการบริหารจัดการ จึงมีเป้าหมายในการรักษาสมดุล ทั้งการดูแลค่าครองชีพ และการดูแลคุณภาพ ความมั่นคง ความมีเสถียรภาพ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ในช่วงที่ภาคพลังงานของประเทศยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติอย่างเต็มที่” นายพูลพัฒน์ กล่าว

นายพูลพัฒน์ กล่าวต่อว่า ปัจจัยในการพิจารณาค่าไฟฟ้างวดสุดท้ายของปีนี้ที่เพิ่มขึ้น ยังคงมาจากเรื่องต้นทุนเชื้อเพลิงก๊าซ ทั้งก๊าซในอ่าวไทย และ LNG Spot นำเข้า ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า มีราคาสูงขึ้น เพราะก๊าซทั้ง 2 แหล่ง ต่างได้รับผลกระทบต่อโครงสร้างต้นทุนจากค่าเงินบาท เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงต่อเนื่องเฉลี่ยอยู่ที่ 36.63 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากต้นปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงกลางปี ที่ผ่านมา ภาวะราคา LNG Spot ในตลาดโลกมีการปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติอย่างต่อเนื่อง ทั้งปริมาณและราคา ซึ่งเฉลี่ยอยู่ในระดับ 10 – 12 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู และคาดการณ์ ราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2567 ขึ้นมาอยู่ที่เฉลี่ย 13 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู เนื่องจากมีปริมาณความต้องการใช้เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว

ส่วนปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย กำลังการผลิตได้กลับมาสู่ภาวะปกติแล้วเช่นกัน โดยมีปริมาณการผลิตทุกแหล่งรวมกันเฉลี่ย 2,184 ล้านบีทียูต่อวัน แต่แหล่งก๊าซในเมียนมาร์ ยังคงมีปริมาณลดลงอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่เฉลี่ย468 ล้านบีทียูต่อวัน จากงวดก่อนหน้านี้ อยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 483 ล้านบีทียูต่อวัน ส่งผลต้องมีการนำเข้า LNG Spot เข้ามาทดแทน

ทั้งนี้ กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 28/2567 (ครั้งที่ 913) เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2567 มีมติรับทราบภาระต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจริง ประจำรอบเดือน ม.ค. – เม.ย.2567 และเห็นชอบผลการคำนวณประมาณค่าเอฟที สำหรับงวดเดือน ก.ย – ธ.ค. 2567

พร้อมให้สำนักงาน กกพ. นำค่าเอฟทีประมาณการ และแนวทางการจ่ายภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. ไปรับฟังความคิดเห็นในกรณีต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 12 – 26 ก.ค. 2567 ก่อนที่จะมีการสรุปและประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป ดังนี้

กรณีที่ 1 : ผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่า Ft (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างทั้งหมด) ค่า Ft ขายปลีกเท่ากับ 222.71 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะเป็นการเรียกเก็บตามผลการคำนวณตามสูตรการปรับค่า Ft ที่สะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2567 จำนวน 34.30 สตางค์ต่อหน่วย และเงินเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนคงค้าง(AF) ที่เกิดขึ้นจริงของ กฟผ. จำนวน 98,495 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 163.39 สตางค์ต่อหน่วย) และมูลค่าAFGAS จำนวน 15,083.79 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 25.02 สตางค์ต่อหน่วย) รวมทั้งสิ้นจำนวน 188.41 สตางค์ต่อหน่วย

โดย กฟผ. จะได้รับเงินที่รับภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าแทนประชาชนตั้งแต่เดือนก.ย. 2564 – เม.ย. 2567 ในช่วงสภาวะวิกฤตของราคาพลังงานที่ผ่านมา คืนทั้งหมดภายในเดือน ธ.ค. 2567 เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้มีสถานะทางการเงินคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติจะได้รับเงินคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติ สำหรับภาคไฟฟ้าคืนทั้งหมด

ซึ่งเมื่อรวมค่า Ft ขายปลีกที่คำนวณได้กับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.01 บาทต่อหน่วย โดยค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 44 จากระดับ 4.18 บาทต่อหน่วย ในงวดปัจจุบัน

กรณีที่ 2 : กรณีจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 3 งวด ค่า Ft ขายปลีก เท่ากับ 113.78 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะสะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2567 จำนวน 34.30 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยชำระคืนภาระต้นทุนคงค้างที่กฟผ. กู้เงินมาเพื่อตรึงค่าไฟฟ้าตั้งแต่เดือน ก.ย. 2564 – เม.ย. 2567 ออกเป็น 3 งวดๆ ละจำนวน 32,832 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 54.46 สตางค์ต่อหน่วย) และมูลค่า AFGAS จำนวน 15,083.79 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 25.02 สตางค์ต่อหน่วย) รวมทั้งสิ้นเท่ากับ 79.48 สตางค์ต่อหน่วย

เพื่อให้ กฟผ. มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้น สามารถดำเนินการตามแผนชำระคืนหนี้เงินกู้ที่วางไว้เพื่อรักษาระดับความน่าเชื่อถือ และลดภาระดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น โดยคาดว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 จะมีภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ. รับภาระแทนประชาชนคงเหลืออยู่ที่ 65,663 ล้านบาท

ในขณะที่รัฐวิสาหกิจ ที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ จะได้รับเงินคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าคืนทั้งหมด ซึ่งเมื่อรวมค่า Ft ขายปลีกกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.92 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากงวดปัจจุบัน

กรณีที่ 3 : กรณีจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 6 งวด ค่า Ft ขายปลีก เท่ากับ 86.55 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะสะท้อนแนวโน้มต้นทุนเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2567 จำนวน 34.30 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยชำระคืนภาระต้นทุนคงค้างที่กฟผ. กู้เงินมาเพื่อตรึงค่าไฟฟ้าตั้งแต่เดือน ก.ย. 2564 – เม.ย. 2567 ออกเป็น 6 งวดๆ ละจำนวน 16,416 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 27.23 สตางค์ต่อหน่วย) และมูลค่า AFGAS จำนวน 15,083.79 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 25.02 สตางค์ต่อหน่วย) รวมทั้งสิ้นเท่ากับ 52.25 สตางค์ต่อหน่วย

เพื่อให้ กฟผ. มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้น สามารถดำเนินการตามแผนชำระคืนหนี้เงินกู้ที่วางไว้เพื่อรักษาระดับความน่าเชื่อถือ และลดภาระดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น โดยคาดว่า ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 2567 จะมีภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ. รับภาระแทนประชาชนคงเหลืออยู่ที่ 82,079 ล้านบาท

ในขณะที่รัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ จะได้รับเงินคืนส่วนต่างราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้าคืนทั้งหมด ซึ่งเมื่อรวมค่า Ft ขายปลีกกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.65 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 11% จากงวดปัจจุบัน

ทั้งนี้ กกพ. เปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 12 – 26 ก.ค. 2567 ก่อนที่จะมีการสรุปและประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : สำนักงาน กกพ. ไม่หยุดดูแล ราคาพลังงาน ลั่นค่าไฟฟ้าต้องเหมาะสม