

กระทรวงการคลังเปิดตัว โครงการ “Ignite Finance” ขับเคลื่อนประเทศไทย ก้าวสู่ศูนย์กลางการเงินระดับโลก เทียบชั้นสิงคโปร์ ฮ่องกง ดูไบ ชู 3 กุญแจสำคัญ ออกกฎหมายธุรกิจการเงินใหม่ สิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ และระบบนิเวศน์แห่งอนาคต เพื่อจุดประกาย โครงการ Ignite Finance ดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้าไทย
- เผยกฎหมายธุรกิจการเงินใหม่ เน้นให้บริการทางการเงินที่มีคุณภาพแบบครบวงจร ตั้งเป็นหน่วยงานขึ้นมา มีความชัดเจนในปี 68
- มีอำนาจในการออกใบอนุญาต ออกหลักเกณฑ์ ดูแลเรื่องเงื่อนไข ดูแลเรื่องยุทธศาสตร์ ลั่นไม่เป็นลดทอนอำนาจ ธปท. ก.ล.ต. แต่อย่างใด เน้นทำงานร่วมกัน
- พร้อมมีแผนจัดตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) ที่จะมาเป็นนวัตกรรมใหม่ ในการค้ำประกันความเสี่ยงด้านสินเชื่อ
- ชี้หากประชาชนผ่านระบบของ NaCGA จะช่วยการันตีได้ว่า บุคคลนั้นไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน สามารถที่จะขอสินเชื่อกับธนาคารไหนก็ได้
วันนี้ (19 ก.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาภายในงาน เปิดตัวโครงการ “Ignite Finance” ว่า รัฐบาลมีแผนยุทธศาสตร์ ในการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยจากการพึ่งพาการผลิต ไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมบริการที่มีมูลค่าสูง โดยวันนี้รัฐบาลพร้อมแล้ว ที่จะสร้างประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางสำคัญด้านการเงิน การลงทุน และการธนาคาร ด้วยการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกของประเทศไทย และการพัฒนากฎหมายการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง โดยโครงการนี้จะดึงดูดเงินทุนต่างชาติและผู้เชี่ยวชาญ ที่มีทักษะสูงมายังประเทศไทย และทำให้ประเทศไทย ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก
ทั้งนี้ สำหรับโครงการ “Ignite Finance” ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศ ไทย ให้เป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลก มีความมุ่งหวัง ที่จะสร้างระบบนิเวศน์ที่ผู้ประกอบการระดับโลก และวิสาหกิจเริ่มต้น และคนที่มีแนวคิด มารวมตัวกันเพื่อสร้างนวัตกรรมทางการเงิน และเทคโนโลยี ภายใต้กรอบการกำกับดูแลที่พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงแห่งอนาคต

“จากนี้เมื่อประเทศไทย เริ่มต้นก้าวสำคัญสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก ประเทศไทยก็พร้อมที่จะจุดประกายอนาคต แห่งความรุ่งเรือง นวัตกรรม และการเป็นผู้นำด้านการเงิน ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน เมือไทยจะสร้างศูนย์กลางการเงินทัดเทียมกับที่อื่นๆ ในโลก” นายเศรษฐา กล่าว
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า การเปิดตัวโครงการ “Ignite Finance” เพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ก้าวสู่เป็นศูนย์กลางด้านการเงินระดับโลก โดยมีจุดหมายสำคัญ เน้นไปที่การปฏิรูปการกำกับดูแล การประกอบธุรกิจทางการเงิน การให้สิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ และการเสริมสร้างระบบนิเวศน์ทางการเงิน ที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ รวมถึงให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ได้ในอัตราที่เหมาะสม
โดยสิ่งนี้ จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการเงินโลก หรือ Thailand Financial Center โดยโครงการนี้ ได้วางเป้าหมายให้มีเม็ดเงิน ไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ต้องไม่เล็กกว่าศูนย์กลางการเงินโลกที่อื่นๆ เทียบกับประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกับไทย โดยจะได้เห็นความชัดเจนภายในปี 68
ชู 3 กุญแจสำคัญ ดันไทยสู่ศูนย์กลางการเงินโลก
ทั้งนี้ Thailand Financial Center จะเน้นการประกอบธุรกิจหลักกับต่างชาติ 5 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ธุรกิจประกันภัย โดยมีปัจจัยที่เป็นกุญแจสำคัญ 3 อย่าง ประกอบด้วย
กุญแจดอกที่หนึ่งคือ การออกกฎหมายธุรกิจการเงินใหม่ ที่พร้อมรับในอนาคต เป็นการยกร่างกฎหมายที่มีความยืดหยุ่น โปร่งใส เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ภายใต้โครงการ Ignite Thailand ภาครัฐจะผลักดันร่างกฎหมาย ที่จะสร้างกรอบการกำกับดูแลแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อให้กระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่การขอใบอนุญาต จนถึงการกำกับดูแลมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเพื่อให้มีการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นไปอย่างรวดเร็ว และตอบโจทย์ผู้ประกอบธุรกิจ เพื่อขยายขอบเขตและบทบาทของภาคการเงินของไทยในเวทีโลก
นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า กฎหมายธุรกิจการเงินใหม่ที่จะเกิดขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยได้มีการหารือกับส่วนงานที่เกี่ยวข้อง มีความคืบหน้าไปพอสมควร อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น และหารือร่วมกัน จากนี้ก็จะนำข้อกฎหมายเข้าสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) และเข้าสู่สภาฯ ต่อไป
“กฎหมายธุรกิจการเงินใหม่นี้ จะเป็นกฎหมายใหม่เลย โดยจะเน้นการให้บริการทางการเงินที่มีคุณภาพแบบครบวงจร โดยตั้งเป็นหน่วยงานขึ้นมา ที่มีอำนาจในการออกใบอนุญาต ออกหลักเกณฑ์ ดูแลเรื่องเงื่อนไข ดูแลเรื่องยุทธศาสตร์ ที่จะดึงดูดธุรกิจการเงินต่างๆ จากต่างประเทศเข้ามาที่ไทย” นายเผ่าภูมิ กล่าว

นายเผ่าภูมิ กล่าวด้วยว่า กฎหมายธุรกิจการเงินใหม่นี้ จะไม่ได้เป็นการดึงอำนาจจากการกำกับดูแลด้านการเงินจาก ธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มาแต่อย่างใด แต่จะเป็นการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้ หากถามว่า กลุ่มนักลงทุนหรือลูกค้าที่จะเข้ามาโดยใช้สิทธิประโยชน์ของกฎหมายธุรกิจการเงินใหม่ จะเป็นการแย่งลูกค้าจากสถาบันการเงิน หรือบริษัททางการเงินหรือไม่นั้น ขอตอบว่า กฎหมายธุรกิจการเงินใหม่ ไม่ได้มีจุดหมายในการแย่งกลุ่มลูกค้าจากสถาบันเงิน เนื่องด้วยฎหมายธุรกิจการเงินใหม่นี้ ไม่ได้มุ่งทำธุรกิจกับคนไทย แต่มุ่งเน้นการทำธุรกิจกับประชากรโลก โดยจะเป็นการดึงเม็ดเงินใหม่ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วโลก ให้เข้ามาในประเทศไทย
ทั้งนี้กุญแจดอกต่อไป คือ สิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ Ignite Finance จะสร้างให้ประเทศไทย เป็นตัวเลือกแรกที่สถาบันการเงิน หรือผู้ให้บริการทางการเงิน เลือกที่จะมาตั้งสาขาและประกอบธุรกิจ ด้วยสิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ รวมถึงการจัดตั้งบริษัทและการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว การให้วีซ่าทำงานแก่บุคลากร และวีซ่าที่เกี่ยวข้องของครอบครัว การจัดเก็บภาษีที่เทียบเท่ากับศูนย์กลางการเงินอื่น โครงการเพิ่มแรงจูงใจอื่นๆ เช่น เงินสนับสนุน (Grant)
ผุดสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ
นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ในส่วนกุญแจดอกสุดท้ายคือ ระบบนิเวศน์แห่งอนาคต Ignite Finance จะพัฒนากรอบกฎหมายที่เข้มแข็ง และโปร่งใส ที่จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำธุรกิจทางการเงิน เหมือนที่ประเทศไทยได้ออกกฎหมายว่าด้วย การประกอบสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) รวมถึงให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เพื่อสนับสนุนธุรกิจ และคุณภาพชีวิตของบุคลากร

ล่าสุดรัฐบาลมีแผน ที่จะจัดตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (National Credit Guarantee Agency: NaCGA) ที่จะมาเป็นนวัตกรรมใหม่ ในการค้ำประกันความเสี่ยงด้านสินเชื่อ นโยบายนี้จะช่วยส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม และเพิ่มการเข้าถึงแหล่งการเงินของประชาชน ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)
ทั้งนี้ เรื่องการจัดตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ ล่าสุดการดเนินการ อยู่ระหว่างเตรียมเรื่องเสนอเรื่องเข้า ครม.อนุมัติ จากนั้นก็นำเข้าสภาฯ ซึ่งก็คาดว่าในปีหน้า 68 ก็จะได้เห็นความชัดเจน
นายเผ่าภูมิ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ก็จะยังอยู่เหมือนเดิม แต่จะเป็นการพัฒนาร่วมกัน NaCGA โดย บสย. จะมาเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานนี้
ทั้งนี้ บทบาทของ NaCGA จะทำหน้าที่อยู่ด่านหน้าของธนาคาร ทำหน้าที่ช่วยประเมินความเสี่ยงของบุคคล ว่าเขามีความเสี่ยงในระดับไหน ควรจะชาร์จค่าฟรี ค่าธรรมเนียมเท่าไหน ในการที่จะทำให้บุคคลนั้น กลายเป็นบุคคลที่ไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน

ทั้งนี้ หากประชาชนเข้าสู่การตรวจสอบจาก NaCGA สิ่งที่ประชาชนจ่ายค่าธรรมเนียมก็จะเป็นจำนวนน้อยมาก โดยการที่มาผ่านระบบของ NaCGA ก็จะช่วยการันตีได้ว่า บุคคลนั้นแทบจะไม่มีความเสี่ยงทางการเงินเลย โดยเขาสามารถที่จะเดินไปขอสินเชื่อกับธนาคารไหนก็ได้ อีกทั้งหากวันหนึ่งไม่มีกำลังในการจ่ายหนี้ ทาง NaCGA ก็จะเป็นผู้รับผิดชอบ
“การมีระบบ NaCGA เข้ามาช่วยในการขอสินเชื่อ ก็จะทำให้ประชาชนหนึ่งคน สามารถเข้าถึงระบบสินเชื่อได้ง่ายขึ้น รวมถึงทางธนาคารเอง ก็จะได้ลูกค้าที่ไม่มีความเสี่ยง เข้าไปเป็นลูกค้า และจัดอยู่ในกลุ่มลูกค้าชั้นดีได้” นายเผาภูมิ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : นายกฯ สั่ง คลัง แบงค์ชาติ เร่งแก้ปัญหา หนี้ครัวเรือน เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจของประชาชน