

เงินดิจิทัล 10,000 บาทใกล้เป็นจริงแล้ว!!
หลังจากคนไทย 50 ล้านคน ที่รอใช้เกือบเงิบ!! เพราะต้องอดทนรอกันนานเกือบปี นับตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้ เข้ามาบริหารประเทศ
ล่าสุด การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบวงเงิน 122,000 ล้านบาท ที่จะนำมาใช้ดำเนินโครงการ “เติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต” แล้ว จากวงเงินทั้งหมดที่จะใช้โครงการนี้ราว 500,000 ล้านบาท
เงินดิจิทัลได้งบแล้ว 1.22 แสนล้านบาท
สำหรับวงเงิน 122,000 ล้านบาท ที่ ครม.เห็นชอบนั้น มาจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ เพื่อเป็นงบกลาง รายการค่าใช้จ่าย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
โดยมีแหล่งเงินจากการจัดเก็บรายได้ที่เดิมไม่ได้กำหนดไว้ในประมาณการเพิ่มเติม 10,000 ล้านบาท และ เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณอีก 112,000 ล้านบาท
แต่เงินจำนวนนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะแจกให้กับคนไทย 50 ล้านคน ที่มีสิทธิ์ตามที่รัฐบาลกำหนด
แหล่งข่าวในที่ประชุมครม.วันดังกล่าว จึงคาดว่า รัฐบาลอาจแจกให้กับประชาชน “กลุ่มเปราะบาง” ก่อน ซึ่งได้แก่ “ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” จำนวน 14.98 ล้านคน
และมีแนวโน้มว่า รัฐจะเปิดให้กลุ่มเปราะบาง ที่มีสิทธิ์ ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการในเร็วๆ นี้ เพื่อให้สามารถเบิกเงินก้อนนี้ มาใช้จ่ายในโครงการได้ทันก่อนสิ้นปีงบ 67 หรือภายในวันที่ 30 ก.ย.67
ส่วนประชาชนกลุ่มอื่น คงต้องรออีกยาว เนื่องจากเงินที่จะใช้ในโครงการนี้ทั้งหมดราว 500,000 ล้านบาทนั้น รัฐเพิ่งได้มาจากแหล่งเดียว คือ งบกลางปี 122,000 ล้านบาทจากการบริหารงบปี 67 รวม 175,000 ล้านบาท
ขณะที่อีก 2 แหล่งคือ การดำเนินการผ่านหน่วยงานภาครัฐ 172,300 ล้านบาท ที่จะเอาจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ3.งบประมาณปี 68 อีก 152,700 ล้านบาทนั้น ยังไม่ได้มา
โดยเฉพาะเงินจากธ.ก.ส. ที่ยังไม่รู้จะได้หรือไม่ และได้เมื่อไร เพราะต้องพิจารณาในข้อกฎหมาย และตีความกันให้วุ่นวายว่า จะใช้ได้หรือไม่ อย่างไร
เพื่อไม่ให้ผิดจากวัตถุประสงค์การใช้เงินภายใต้พ.ร.บ.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 และไม่ผิดพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 มาตรา 28 ส่วนเงินจากงบประมาณปี 68 ก็น่าจะเบิกจ่ายได้ต้นปีงบ 68 ที่เริ่มตั้งแต่เดือนต.ค.67
คลังยืนยัน 50 ล้านคนได้ใช้พร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม ข่าวที่ว่า รัฐอาจให้กลุ่มเปราะบางได้ใช้เงินดิจิทัลก่อนใครนั้น ทำให้คนกลุ่มนี้ดีใจแบบเก้อๆ เพราะเพียง 1 วันให้หลัง หรือวันที่ 5 มิ.ย.67 กระทรวงการคลัง ทั้ง “นายพิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง “นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์-นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล” รมช.คลัง ประสานเสียงยืนยันว่า
เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน คนไทยที่มีสิทธิ์รับเงินดิจิทัล 50 ล้านคน จะได้เงินพร้อมกัน ได้ทั้งก้อน และได้งวดเดียว ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ เพื่อให้เม็ดเงินจำนวนมากลงไปในระบบเศรษฐกิจพร้อมกัน และเป็นพลังกระตุ้นเศรษฐกิจ!!

พร้อมกับย้ำว่า “จะเปิดให้ประชาชน และร้านค้า ลงทะเบียนเข้าร่วมโคงการไตรมาส 3 ปีนี้ และจะเริ่มใช้จ่ายได้พร้อมกันในไตรมาส 4 ไม่มีกลุ่มไหนได้ลงทะเบียนก่อน หรือได้ใช้เงินก่อน เพราะคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ไม่เคยพิจารณาจะให้กลุ่มไหนก่อนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ทุกคนควรได้พร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน และในจำนวนเงินที่เท่ากัน เพื่อที่จะได้มีเม็ดเงินจำนวนมากลงไปในระบบเศรษฐกิจพร้อมกัน ส่วนการพัฒนาซูเปอร์แอป ยังยืนยันอยู่ในไทม์ไลน์เดิม”
เป็นอันว่า ดันฝัน “กลุ่มเปราะบาง” ที่หวังจะได้ใช้ก่อนใคร
น่าจะเป็นเพราะ ขณะนี้ การเตรียมการต่างๆ ยังไม่เสร็จ โดยเฉพาะการสร้าง “Super App” ที่จะใช้เป็นแพลตฟอร์มชำระเงินกลาง (Payment Platform) ของไทย รองรับเงินดิจิทัล ภายใต้งบดำเนินการ 95 ล้านบาท
โดยตามแผนการพัฒนา Super App ช่วงเดือน ก.ค.-ธ.ค.67 จะดำเนินการพัฒนาและทดสอบระบบ และจะเปิดให้บริการช่วงเดือนต.ค.67-มี.ค.68 ช่วงเดียวกับที่รัฐบาลจะแจกเงินดิจิทัลพอดี
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่รัฐบาลกำหนดไว้จริง ประชาชนผู้มีสิทธิ์ และร้านค้า ก็ต้องรอฟังข่าวให้ดี ว่าจะเปิดให้ลงทะเบียนเมื่อไร ผ่านช่องทางใดบ้าง และมีเงื่อนไขการใช้เงินอย่างไร
เมื่อเงินดิจิทัลถึงมือประชาชนจริงๆ ก็ยังไม่รู้ว่า จะเป็นการใช้งบประมาณอย่าง “คุ้มค่า” หรือไม่ เพราะไม่รู่ว่า จะทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย การลงทุนเพิ่ม การผลิตเพิ่ม การจ้างงานเพิ่ม และมีผลต่อเนื่องให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้หรือไม่??
แต่ที่แน่ๆ ขณะนี้ คนไทยจวนตายหมู่แล้ว เพราะท้องยังกินไม่อิ่ม หารายได้ไม่พอรายจ่าย ค่าครองชีพพุ่งกระฉูด หนี้สินรุงรัง และไม่รู้สึกว่ารัฐบาลได้ทำอะไรที่เป็นการ “แก้ปัญหาเศรษฐกิจ” เลย ยกเว้นกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่เห็นเป็นรูปธรรม!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : แจกเงิน ดิจิทัล วอลเล็ต ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14.98 ล้านคนลำดับแรก