CRG เปิดยุทธศาสตร์ ‘ก้าวต่อไปแห่งการเติบโต’ ท็อป 3 ธุรกิจร้านอาหารในไทยกับเป้ายอดขาย 15,000 ล้านบาทในปีนี้

CRG เปิด 5 กลยุทธ์สร้างการเติบโตในธุรกิจร้านอาหารสู่ยอดขาย 15,000 ล้านบาทวางเป้าเปิด 150 สาขาใหม่เป็น 1,650 สาขาผลักดันการเติบโตในสาขาเดิมเปิด 1-2 แบรนด์ใหม่พัฒนา CRG Ecosystem ติดอาวุธหนุนพันธมิตรโตร่วมกันพร้อมมุ่งหน้าสู่เวียดนามเป็นแห่งแรก

นายณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) เปิดเผยว่าแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารปี 2566 ภาพรวมเห็นการฟื้นตัวเต็มที่ แต่การเติบโตตัวเลขจะชะลอตัวลงในระดับ 2-3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีอัตราการเติบโตสูงถถึง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีมูลค่าการตลาดรวมถึง 410,000 ล้านบาท

จากปัจจัยโควิด-19 คลี่คลาย ผู้บริโภคออกมาช้อป ชิล ชิม หรือรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น การท่องเที่ยวฟื้นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจการบริโภค แม้เทรนด์การบริโภคอาหารภายในร้าน (Dine-in) กลับมาคึกคักเติบโต แต่บริการเดลิเวอรี่ สั่งอาหารผ่านออนไลน์ยังขยายตัวได้ เป็นอัตราชะลอลงชั่วคราวเท่านั้น บริษัทจึงให้ความสำคัญ ในการทำตลาดต่อเนื่องกระตุ้นการเติบโต

ก้าวใหม่แห่งการเติบโตแห่งอนาคต

สำหรับผลประกอบการของ CRG ในปีที่ผ่านมามียอดขายรวม 12,800 ล้านบาท เติบโตถึง 37% โดย CRG นับเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารรายใหญ่ระดับท็อป 3 ของประเทศ เชื่อว่าทุกค่ายจะมีผลประกอบการดีเหมือนกันหมดเพราะปลดล็อกจากข้อจำกัดของโควิด-19 โดย CRG มีทั้งหมด 20 แบรนด์ จำนวน 1,500 สาขา เป็นการเปิดลงทุนสาขาใหม่ 200 สาขา

รวมทั้งได้เสริมแกร่งพอร์ตโฟลิโอธุรกิจร้านอาหาร ด้วยการเติม 3 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ร้าน “ราเมน คาเกทสึ อาราชิ” แบรนด์ดังระดับท็อป 3 ในกลุ่มราเมนเครือข่ายจากประเทศญี่ปุ่น, การเข้าร่วมทุนในแบรนด์ “ชินคันเซ็น ซูชิ” ผ่าน 44 สาขา และรุกเข้าสู่ธุรกิจร้านปิ้งย่างภายใต้แบรนด์ “นักล่าหมูกระทะ” 

สำหรับในปีนี้จะตั้งเป้าเติบโตในระดับ 20% สู่ยอดขาย 15,000 ล้านบาท  บริษัทได้กำหนดแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจร้านอาหารสู่ ‘ก้าวต่อไปแห่งการเติบโต’ หรือ The Next Chapter of Growth พร้อมวาง 5 กลยุทธ์ ผลักดันการเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 

ประกอบด้วย 1. เร่งเติมเต็มศักยภาพการเติบโต (Accelerate Growth Potential) ด้วยการขยายร้านอาหารสาขาใหม่ โดยเฉพาะแบรนด์พระเอกในเครือ เช่น ไก่ทอดเบอร์ 1 เคเอฟซี ควบคู่บริการเครื่องดื่มอาริกาโตะ ร้านอานตี้แอนส์  ร้านส้มตำนัว ร้านสลัดแฟคทอรี่ ร้านชินคันเซ็น ซูชิ เป็นต้น ซึ่งทั้งปีวางไว้ไม่น้อยกว่า 150 สาขา ลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ผ่านกลยุทธ์ เช่น ออกเมนูใหม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและเทรนด์ตลาด ดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการเพิ่มโอกาสในการบริโภค ด้วยการพัฒนาสินค้ากลุ่มพร้อมรับประทาน (Ready to Eat : RTE) ผลิตภัณฑ์พร้อมปรุง เช่น ซอส ฯ รองรับการซื้อกลับบ้าน เป็นต้น กลยุทธ์เร่งการเติบโตจะมาจาก 2 ส่วน คือเดินหน้าลงทุนเปิดร้านหรือขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้น และการทำให้ยอดขายในร้านเดิมหรือ Same Store ขยายตัวมากขึ้น  

2. สร้างธุรกิจใหม่เพื่อการเติบโต (Build New Growth Pillar) ใน 2 มิติ ได้แก่ การมองหาแบรนด์ใหม่เสริมพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งตามแผนงานบริษัทวางเป้าหมายจะเพิ่ม 1-2 แบรนด์ต่อปี และการขยายโอกาสสู่ตลาดใหม่ในประเทศเวียดนาม รองรับประชากรที่มีขนาดเกือบ 100 ล้านคน เป็นคนรุ่นใหม่ และมีกำลังซื้อขยายตัว บริษัทวางแผนเพิ่มร้านอาหารแบรนด์ใหม่ 1-2 แบรนด์

3. ผนึกพันธมิตรสร้างการเติบโตร่วมกัน (Growth Together with Partnership) สำหรับปี 2566จะมีการเร่งขยายสาขาของร้านอาหารเพิ่มขึ้นทั้งแบรนด์ชินคันเซ็น ซูชิ, สลัดแฟคทอรี่ และส้มตำนัว ในทำเลห้างค้าปลีกของกลุ่มเซ็นทรัล โรบินสัน ตลอดจนการเปิดร้านในรูปแบบ Stand Alone ปีที่ผ่านมาบริษัทสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจซีอาร์จีหรือ CRG Ecosystem เปรียบเสมือนการติด อาวุธให้พันธมิตรที่อยู่กับเรา สามารถเชื่อมต่อการใช้งานหรือ Plug & Play ผลักดันการเติบโตของร้านอาหารได้ เช่น ช่วยหาพื้นที่ขยายสาขาใหม่ การทำตลาด การหาพนักงาน สิ่งไหนที่พันธมิตรต้องการเรามี Ecosystem ที่จะช่วยเสริมให้การทำงานง่ายขึ้น

4. เพิ่มประสิทธิผล (Productivity Growth) ของการทำงานรอบด้าน ด้วยกลยุทธ์ 3C คือ Cost บริหารจัดการต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด, Capex เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
และ Cash Flow การบริหารกระแสเงินสด ตลอดจน การลงทุน ให้มีความคล่องตัวมากขึ้น 

นอกจากนี้ ซีอาร์จียังได้นำเทคโนโลยีมาใช้บริหารจัดการร้านอาหารมากขึ้น ปัจจุบันเริ่มนำร่อง ในบางสาขา เช่น การสั่งอาหารผ่านคิวอาร์โค้ด (QR Ordering), การนำหุ่นยนต์มาให้บริการในร้าน, การนำเครื่องมือ
ใช้วิเคราะห์ลูกค้า (Business Intelligence) เพื่อเข้าใจและตอบสนองกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำยิ่งขึ้น รวมถึงการวางแผนพัฒนาระบบการเสิร์ฟอาหารผ่านระบบสายพาน เป็นต้น

5. ขับเคลื่อนธุรกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) ถือเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของซีอาร์จี ด้วยให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจควบคู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งปี 2566 บริษัทจะให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นหลายมิติ

ทำงานตามหลัก C-R-G เป็น 3 แกน 

  • Care For People ด้านบุคลากร มีการเปิดกว้างรับความหลากหลายของพนักงานเข้าทำงานทั้งด้านเพศ ผู้พิการ เพื่อสร้างความเท่าเทียม การสร้างสมดุลในการทำงานเพื่อให้พนักงานมีความสุข มีความผูกพันกับองค์กร (Engagement) 
  • Reduce Greenhouse Gases มุ่งเน้นให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม พร้อมผลักดันให้การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมภายใต้กรอบแนวคิดจากผู้บริหารสู่การปฏิบัติและลงมือทำของแบรนด์ต่าง ๆ และปลูกจิตสำนึกให้พนักงานของกลุ่มธุรกิจอาหาร โดยในปี 2565 ซีอาร์จีประสบความสำเร็จในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซ
    เรือนกระจกได้ 116 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยได้นำพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) มาใช้ในการดำเนินงานในรูปแบบของแผงโซล่าเซลล์ และยังประสบความสำเร็จอย่างสูงในการลดปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยความเข้มข้นของค่าพลังงานต่อหน่วยรายได้ (ล้านบาท) ลดลงจากปี 2564 คิดเป็น 4% 
  • Green Waste & Environment ลดปริมาณขยะอาหารที่เกิดจากการใช้วัตถุดิบในกระบวนการผลิตอาหาร บริษัทสามารถควบคุมปริมาณขยะอาหารให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1% และในปีที่ผ่านมา การบริจาคอาหารส่วนเกินยังช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทั้งสิ้น 44,422 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

สำหรับความท้าทายในการทำธุรกิจร้านอาหารปี 2566 คือการรับมือต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นการขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากตลาดฟื้นตัว ทำให้ความต้องการพนักงานเพิ่มขึ้น