ไขข้อข้องใจ “น้ำ” ไม่ท่วม “กรุงเทพฯ” เหมือนปี 54 จากนี้เฝ้าระวัง “ภาคใต้”

น้ำไม่ท่วมกรุงเทพ เหมือนปี 54
ไขข้อข้องใจ “น้ำ” ไม่ท่วม “กรุงเทพฯ” เหมือนปี 54 จากนี้เฝ้าระวัง “ภาคใต้”


สถานการณ์ฝนตกหนัก ดินโคลนถล่ม จนเกิดน้ำท่วมใหญ่ และรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปีในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางจังหวัด คาดว่า จะคลี่คลายและกลับเข้าสู่ภาวะปกติในเร็วๆ นี้

เพราะข้อมูลจากสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. หน่วยงานพยากรณ์สภาพอากาศของไทย คาดการณ์ว่า ตั้งแต่วันที่ 8-14 ต.ค.67 ปริมาณฝนบริเวณตอนบนของประเทศมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ระดับน้ำสายหลัก และสาขาบริเวณภาคเหนือลดลงด้วย

แต่จากมวลน้ำมหึมาที่ไหลจากภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลงสู่พื้นที่ภาคกลางนั้น ทำให้คนในพื้นที่ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล ต่างเกิดความ กลัว ว่า จะเกิดน้ำท่วมใหญ่เหมือนปี 54 ที่ยังเป็น ฝันร้าย ของผู้ประสบภัย หรือไม่

และหลังจากนี้ พื้นที่ใดของประเทศเป็นจุดเสี่ยงที่จะต้องรับมือกับมวลน้ำจากภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพื้นที่ใดที่จะเกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมเฉียบพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่มอีกหรือไม่ วันนี้มีคำตอบ

กรุงเทพฯน้ำไม่ท่วมหนักเหมือนปี 54

สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลปี 67 จะเหมือนกับปี 54 หรือไม่นั้น ข้อมูลจากทั้งสสน.และกรมชลประทาน ยืนยันตรงกันว่า จะไม่เกิดสถานการณ์เช่นนั้นแน่นอน 

เนื่องจากสถานการณ์พายุ ปริมาณฝน และน้ำในเขื่อน ของทั้ง 2 ปีนี้ ต่างกันมาก โดยในด้านของพายุ ปี 54 มีพายุ 5 ลูก แต่ปีนี้มี 1 ลูก  คือ พายุซูริก ที่ทำให้เกิดฝนตกหนัก และฝนสะสมมาก

ขณะที่ปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปี 54 มีมากถึง 24,730 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ..) หรือ 99% ของความจุ  แต่ปีนี้มีเพียง 19,852 ล้าน ลบ.. หรือ 80% ยังรับน้ำได้อีก 20% หรือราว 5,019 ล้าน ลบ.

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของ สสน. แม้ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนต.ค.นี้เป็นต้นไป ปริมาณฝนในพื้นที่ภาคเหนือเริ่มลดลง และจะเริ่มตกชุกในภาคใต้นั้น

แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังระดับน้ำแม่น้ำยม จังหวัดพิษณุโลก โดยเฉพาะอำเภอบางระกำ ที่ยังคงล้นตลิ่งในบางพื้นที่ จากปริมาณฝนตกสะสมในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังต้องเฝ้าระวังระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ที่ยังคงมีระดับน้ำล้นตลิ่งบางแห่ง ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ และลำน้ำสาขาได้รับผลกระทบ 

ประกอบกับ ในช่วงวันที่ 17-22 ต.ค.นี้ เป็นช่วงน้ำทะเลหนุนสูงบริเวณอ่าวไทย จึงอาจเป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำลงสู่อ่าวไทย

ดังนั้น ประชาชนที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จะได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา แต่กรมชลประทาน จะพยายามบริหารจัดการให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด 

ปรับระบบจัดการน้ำมีประสิทธิภาพขึ้น

นอกจากสถานการณ์พายุ ปริมาณฝน และปริมาณน้ำในเขื่อนของทั้ง 2ปีที่แตกต่างกัน จนทำให้คาดว่า สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลาง กรุงเทพฯและปริมณฑลไม่รุนแรงเหมือนปี 54 แล้ว

ยังมีปัจจัยอื่นอีก นั่นก็คือ ประเทศไทยได้ปรับปรุงระบบบริหารจัดการน้ำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยถอดบทเรียนจากปี 54 ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันทำงานมากขึ้น โดยมีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นหน่วยงานหลัก 

ขณะเดียวกัน หน่วยงานคาดการณ์สภาพอากาศ อย่าง กรมอุตุนิยมวิทยา และ สสน. ได้พัฒนาระบบพยากรณ์และเตือนภัยเพื่อเพิ่มความแม่นยำ อีกทั้งยังมีการแจ้งเตือนและเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ล่วงหน้า 

อย่างกรณีของมวลน้ำที่กำลังไหลจากภาคเหนือมาสู่ภาคกลางขณะนี้ สทนช.ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทุกวัน มีการเตือนภัยประชาชน และเตรียมการรับมือล่วงหน้า

อีกทั้งกรมชลประทานได้เตรียมพื้นที่ หรือทุ่งรับน้ำ ทั้งที่บางระกำ สิงห์บุรี ลพบุรี ฯลฯ กว่า 10 ทุ่ง หลังจากเกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าว และผลผลิตทางการเกษตรอื่นแล้ว จากปี 54 ไม่ได้เตรียมทุ่งรับน้ำที่ชัดเจนแบบนี้

รวมถึงกรมชลประทานได้ระบายน้ำลงสู่อ่าวไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันมวลน้ำลงสู่อ่างไทยให้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ในช่วงวันที่ 17-22 ต.ค.นี้ ที่มีน้ำทะเลหนุน ได้ลดระดับการระบาย เพื่อไม่ให้กระทบประชาชนมากนัก

แต่จากปริมาณฝนที่มีมาก กรมชลประทานได้พลิกวิกฤติเป็นโอกาส เก็บกักน้ำในเขื่อน และอ่างเก็บน้ำ เพื่อให้ช่วงหน้าแล้งปีหน้า เกษตรกรจะมีน้ำสำหรับการเกษตรได้อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะชาวนาจะสามารถปลูกข้าวนาปรังได้มากถึง 6.4 ล้านไร่ จากปีก่อนที่ทำได้เพียง 4.5 ล้านไร่

เฝ้าระวังฝนตกหนักน้ำท่วมภาคใต้

ข้อมูลของสสน.บนแอปพลิเคชัน ThaiWater และเว็บไซต์ คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ หรือ thaiwater.net ที่ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 18-22 ต.ค.นี้ คาดว่า จะมีฝนตกหนัก คลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทยตอนบนมากกว่า 2 เมตร และมีน้ำทะเลหนุนสูงนั้น

จำเป็นต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขังจากฝนตกสะสมในพื้นที่ลุ่มต่ำและเขตเมือง  บริเวณภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้

โดยจังหวัดที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ ภาคกลาง ประกอบด้วย กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี กรุงเทพฯและปริมณฑล 

ส่วนภาคตะวันออก ประกอบด้วย ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และภาคใต้ ประกอบด้วย ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร 

นอกจากนี้ ตั้งแต่เดือนต.ค.67 จนเดือนมี.ค.68 จะเกิดฝนตกในพื้นที่ภาคใต้ และจะมากกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 30 ปีที่ระดับ 1,500 มิลลิเมตร (มม.)โดยในเดือนต.ค.-ธ.ค.นี้ ปริมาณฝนจะมากกว่าค่าเฉลี่ย 10%, 32% และ 42% ตามลำดับ

ส่วนเดือนม.ค.-มี.ค.68 ปริมาณฝนเริ่มลดลง เหลือมากกว่าค่าเฉลี่ย 25%, 22% และ 20% ตามลำดับ

ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องร่วมกันเฝ้าระวังสถานการณ์ เตือนภัยประชาชน และเตรียมรับมือกับสถานการณ์ฝนตกหนัก น้ำท่วมเฉียบพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม ไว้ล่วงหน้า 

ทั้งนี้เพื่อลดการสูญเสียชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ 

แนะประชาชนติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด

สำหรับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ต้องติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำในพื้นที่ตนเองอย่างใกล้ชิด ผ่านแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐที่เชื่อถือได้ อย่างแอปพลิเคชัน ThaiWater

ที่มีข้อมูลครอบคลุมทั้งปริมาณฝน ระดับน้ำในแม่น้ำและเขื่อน ข้อมูลคลื่น และยังมีข้อมูลคาดการณ์ฝน 7 วันล่วงหน้า ซึ่งจะช่วยให้เฝ้าระวัง และเตรียมรับมือได้ทัน และช่วยลดการสูญเสียได้มาก 

นอกจากนี้ ประชาชนยังต้องตรวจสอบบ้ายเรือนให้แข็งแรง มั่นคง และเตรียมสิ่งของจำเป็น  เช่น อาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค เอกสารสำคัญ และอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการอพยพด้วย

และเพื่อให้การบริหารจัดการน้ำในประเทศไทยเกิดความยั่งยืน จำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันดูแลและฟื้นฟูป่า ดูแลแหล่งน้ำ ฟื้นฟูอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กให้พร้อมรองรับปริมาณฝนได้

เพราะสถานการณ์ฝนตกหนัก ดินโคลนถล่ม และน้ำท่วมใหญ่ในภาคเหนือที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ที่ทำให้ลักษณะการเกิดฝนของไทยเป็นแบบกระจุกตัว ไม่กระจายเหมือนก่อน

ประกอบกับ ฝุ่น PM 2.5 ทางภาคเหนือ ที่ก่อตัวหนาแน่น เมื่อกระทบกับความกดอากาศต่ำ และร่องมรสุม ทำให้เกิดฝน และยังมีพายุ “ยางิ” ที่แม้ไม่ได้เข้าไทยโดยตรง แต่ร่องมรสุดพัดผ่านตอนบนของประเทศ ก็ทำให้เกิดฝนตกหนัก

รวมถึงการใช้ประโยชน์ของที่ดินที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีการปลูกพืชทับทางน้ำ ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ที่ไม่มีรากแก้วยึดดิน มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นมาก จนขวางทางน้ำ หรือทับทางน้ำ ส่งผลให้แม้บางพื้นที่ มีปริมาณฝนน้อยกว่าปกติ ก็เกิดน้ำท่วมแล้ว 

จึงจำเป็นต้องทบทวนเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดิน และผังเมืองใหม่ ไม่เช่นนั้น จะเกิดปัญหารุนแรงเหมือนที่ภาคเหนือไม่รู้จบ

สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ศปช. เผย ภาพรวมน้ำท่วมคลี่คลายเหลือ 5 จังหวัด