

“ชูศักดิ์” รมต.นร ประกาศเจตนารมณ์งานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) “FIGHT AGAINST CORRUPTION สู้ให้สุด หยุดการโกง” มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง พร้อมแสดงจุดยืนไม่ทำ ไม่ทน และไม่เฉยต่อการทุจริต
วันนี้ ( 9 ธันวาคม 2567) เวลา 10.20 น. ณ ฮอลล์ 7 อาคารศูนย์การประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) “FIGHT AGAINST CORRUPTION สู้ให้สุด หยุดการโกง”
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) เป็นวันที่องค์การสหประชาชาติกำหนดให้เป็นวันสำคัญ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาคมโลก ถึงภัยร้ายแรงของการทุจริตและเพื่อประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ ปัญหาการคอร์รัปชันของประเทศไทยเป็นปัญหาเรื้อรังที่สั่งสมมานาน ส่งผลเสียหายต่อประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมการเมือง นำไปสู่ปัญหาการขาดความเชื่อมั่นในมุมมองของนานาชาติ
ปัญหาการทุจริตที่เป็นจุดอ่อนที่สำคัญของประเทศไทย
จากการศึกษาขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติในปีที่ผ่านมา สะท้อนว่าปัญหาการทุจริตที่เป็นจุดอ่อนที่สำคัญของประเทศไทย คือ เรื่องการซื้อขายตำแหน่ง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง การทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การเรียกรับสินบน การใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อกัน การบังคับใช้กฎหมาย การแยกแยะผลประโยชน์ส่วนรวมและประโยชน์ส่วนตน
ความไม่โปร่งใสในการใช้งบประมาณ ส่งผลต่อคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต ซึ่งเป็นดัชนีสำคัญที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกให้การยอมรับ เพื่อวัดสถานการณ์การทุจริตในแต่ละประเทศที่นักลงทุนหรือนักธุรกิจหลายประเทศใช้ประเมินความน่าสนใจลงทุนของแต่ละประเทศ โดยมองว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เป็นต้นทุนหรือความเสี่ยงในการเข้ามาประกอบธุรกิจ
CPI ของประเทศไทยอยู่ในระดับคงที่ มีคะแนน 35 – 36 คะแนน
อย่างไรก็ตามผลการประเมินดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของประเทศไทย ในระยะที่ผ่านมายังอยู่ในระดับคงที่ มีคะแนน 35 – 36 คะแนนจาก 100 คะแนน แสดงให้เห็นถึงปัญหาการทุจริตในประเทศไทยที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา โดยรัฐบาลจะยึดมั่นในหลักนิติธรรม (Rule of Law) และสร้างความโปร่งใส (Transparency) การสร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดิน ด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ ใช้งบประมาณของรัฐน้อยที่สุดแต่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ในการสร้างรายได้ และสร้างโอกาสแก่ประเทศและประชาชน โปร่งใส และเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ ซึ่งรัฐบาล มีความมุ่งมั่นตั้งใจดำเนินงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส ยึดประโยชน์ของประชาชนทุกภาคส่วนเป็นที่ตั้ง และผลักดันการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาในเชิงระบบที่สำคัญ ผ่านการบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ได้แก่
1. การให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการทุจริตโดยการผลักดันให้แนวทางการแก้ไขบรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561 – 2580) และการผลักดันให้มีการจัดทำแผนระดับรองเพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างจริงจัง
2. การขับเคลื่อนพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชน เพื่อสร้างความโปร่งใสในการอนุมัติ อนุญาตเพื่อลดปัญหาการทุจริตจากการเรียกรับสินบน และการพัฒนาและส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในขั้นตอนต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและลดระยะเวลาในการติดต่อขอรับบริการจากหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะในเรื่องการอนุมัติ/อนุญาตต่าง ๆ สร้างความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ และประชาชนสามารถตรวจสอบได้ มีการเปิดเผยข้อมูลสู่ระบบดิจิทัล
3. การเสริมสร้างให้กระบวนการยุติธรรมมีความเป็นอิสระปราศจากการแทรกแซง สร้างความน่าเชื่อถือ ความโปร่งใสในระบบศาลยุติธรรม การบังคับใช้กฎหมาย กระบวนการนิติบัญญัติและระบบการบริหารจัดการ รวมทั้งการส่งเสริมระบบคุณธรรมในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม
4. การสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินคดีทุจริตคอร์รัปชันที่สร้างความเสียหายหรือมีผลกระทบในวงกว้าง รวมถึงการรับมือกับปัญหาการเรียกรับสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐและปัญหาการทุจริตข้ามชาติ ทั้งในเรื่องช่องว่างของกฎหมาย เพื่อสามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ
5. การสร้างความเข้มแข็งและความเป็นอิสระให้กับหน่วยงานตรวจสอบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการตรวจสอบ ก่อให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุล และบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายบริหารและหน่วยงานตรวจสอบ เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบเชื่อมโยงกันในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง และไร้รอยต่อ
6. การพัฒนาช่องทางการแจ้งเบาะแสให้มีความหลากหลายเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยง่าย สามารถแจ้งเบาะแสได้ทันทีเมื่อพบเห็นการกระทำทุจริต
7. การส่งเสริมให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังการทุจริต เพื่อเป็นพลังในการตรวจสอบการทุจริต ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง และการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ รวมถึงการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจถึงการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการทุจริตและผลที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง เป็นรูปธรรมของประเทศไทยไปให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการประเมินดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศไทย อันจะส่งผลให้นักลงทุนชาวต่างชาติเกิดความเชื่อมั่นและตัดสินใจลงทุนในประเทศไทยได้ง่ายขึ้นทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการจ้างงานของประเทศเติบโตได้มากขึ้น และส่งผลต่อการยกระดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ให้ดีขึ้นด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : “เศรษฐา”ชี้ปัญหาคอร์รัปชัน ต้นตอ ทำให้เศรษฐกิจไทยถดถอย