“ลุงตู่”รับลูกทีมที่ปรึกษาตั้งศูนย์ฟื้นฟูเศรษฐกิจ บริหารเบ็ดเสร็จแบบ ศบค.



  • เอกชนถามกลางที่ประชุมห่วงการเมือง คลุมเครือ
  • หวั่นข้าราชการเกียร์ว่าง
  • “สมคิด”ยืนยันยังทำงานอยู่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการช่วยเหลือและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

โดยนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผยภายหลังการประชุม ว่า นายกฯแจ้งว่าการประชุมทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจครั้งนี้เป็นรูปแบบใหม่ แบบ นิว นอร์มอล ที่มีการหารือกับทุกภาคส่วน และจะนำข้อเสนอแนะไปพิจารณาประกอบดับข้อกฎหมายและงบประมาณ บางเรื่องจะส่งต่อให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) หรือบางเรื่องนำไปเข้า ครม.เศรษฐกิจก่อน โดยมีประเด็นสำคัญในครั้งนี้ ที่ภาคเอกชนเสนอให้รัฐบาล จัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มีรูปแบบการปฎิบัติงานเช่นเดียวกันศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ขึ้นมา เนื่องจากเห็นว่า ศบค.สามารถบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโควิดได้ดี เป็นระบบและรวดเร็ว เพราะมีเอกภาพและบูรณาการ จึงควรนำวิธีบริหารจัดการมาใช้กับการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วย โดยให้นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน

“ที่ประชุมยังไม่ได้พูดถึงการเพิ่มเงินเยียวยา 5,000 บาท 3 เดือน ซึ่งจะหมดในเดือนก.ค.นี้ แต่กำลังดูว่าเมื่อไม่มีเงินในกระเปาแล้ว รัฐบาลจะช่วยเหลือต่อได้อย่างไร โดยเฉพาะการช่วยธุรกิจเอสเอ็มอีให้มีสภาพคล่องมากขึ้นและยืนได้จนถึงปลายปี และเอกชนยังขอให้รับผ่อนคลายกฏเกณฑ์ต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ และเป็นห่วงบัณทิตจบใหม่ในปีนี้ 500,000 รายจะตกงานหลายแสนคน”

ขณะเดียวกัน มีภาคเอกชนเสนอให้รัฐบาลจัดทำและเปิดเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วทุกเดือน เพราะตอนนี้รอให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ทุก 3 เดือนจะช้าเกินไป จึงขอให้ภาครัฐรวบรวมตัวเลขที่แต่ละหน่วยงานทำออกมาเปิดเผยในทุกๆ เดือน ส่วนการแก้ปัญหาให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ได้มีข้อเสนอหลายเรื่อง ซึ่งจะต้องนำมาจัดลำดับความสำคัญการแก้ปัญหา อาทิ การขยายเวลาพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย ที่จะสิ้นสุดวันที่ 22 ต.ค.นี้ออกไปอีกระยะหนึ่ง การจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือเอสเอ็มอีก วงเงิน 50,000 ล้านบาท จากเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 400,000 ล้านบาท การแก้ปัญหาธนาคารพาณิชย์ไม่ยอมปล่อยเงินกู้จากวงเงินสินเชื่อผ่อนปรนให้กับเอสเอ็มอีก ดังจะเห็นได้จาก ธปท.ตั้งวงเงินไว้ให้ 500,000 ล้านบาท แต่ปล่อยกู้จริงเพียง 100,000 ล้านบาท จึงมีข้อเสนอให้กู้ตามหลักเกณฑ์ธปท.ที่ให้สินเชื่อ ดอกเบี้ย 2% ใน 2 ปีแรก จากนั้นในปีที่ 3-5 ขอให้ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)มาช่วยค้ำเงินกู้ในสัดส่วนที่มากขึ้น เพื่อให้ธนาคารกล้าปล่อยกู้มากขึ้น ตลอดจนให้ขยายโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 8 ของ บสย. เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี ที่ต้องการสินเชื่อจากสถาบันการเงิน แต่มีหลักประกันไม่เพียงพอให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้

ส่วนภาคท่องเที่ยวมีข้อเสนอส่งเสริมท่องเที่ยววันธรรมดา กระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรอง การออกมาตรการชิม ช้อป ใช้ และการทำแพลตฟอร์มออนไลน์ของคนไทยสำหรับจองโรงแรม แทนที่จะไปเสียค่าธรรมเนียมสูงๆให้แพลตฟอร์มต่างประเทศ
นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เอกชนมีความเป็นห่วงในเรื่องของสถานการณ์การเมืองที่ยังมีความไม่แน่นอน หรือยังไม่นิ่ง มีความคลุมเครือไม่ชัดเจนโดยเฉพาะการลาออกของ 4 กุมาร ที่แม้จะยังอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ไม่ได้อยู่ในพรรคแล้ว อาจทำให้ข้าราชการเกียร์ว่าง รวมทั้งการประสานงานระหว่างพรรค หน่วยงานอาจมีปัญหา มีความล่าช้า ซึ่งเอกชนก็หารือในที่ประชุมซึ่งทางรองนายกฯสมคิด ก็ยืนยันว่า ยังทำงานอยู่ ส่วนเรืองการปรับครม.นั้นเป็นเรื่องของนายกฯ ซึ่งเอกชนก็ต้องดูต่อไปว่าปรับออกมาเป็นอย่างไร