

ในการประชุม RT2024 ได้มีการจัดตั้งพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ครั้งใหม่เพื่อจัดการปัญหาตัดไม้ทำลายป่า เพิ่มการมีส่วนร่วมของเกษตรกรรายย่อยด้วยโครงการสร้างการปรับตัวที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate-smart programmes) และขับเคลื่อนความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจาก RSPO ทั่วโลก
การประชุมโต๊ะกลมว่าด้วยน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน (Roundtable on Sustainable Palm Oil: RSPO) ได้เรียกร้องความพยายามร่วมกันเพื่อขยายขอบเขตนวัตกรรมและผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิรูปในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มยั่งยืน การประชุมประจำปีของ RSPO (RT2024) จัดขึ้นในกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 11 ถึง 13พฤศจิกายน โดยได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของประเทศไทย และการเตรียมพร้อมเพื่อนำมาตรฐาน RSPO 2024 ไปใช้ดำเนินการ
มาตรฐานใหม่ที่ปรับปรุงนี้ประกอบด้วยหลักการและเกณฑ์ปี 2567 (2024 Principles & Criteria หรือ P&C) และ มาตรฐานเกษตรกรรายย่อยอิสระปี 2567 (2024 Independent Smallholder หรือ ISH Standard) ซึ่งช่วยเพิ่มความชัดเจน ความสามารถในการตรวจสอบและนำไปใช้ให้ดีขึ้น และจัดการปัญหาที่เกี่ยวกับตลาดและการกำกับดูแล โดยเน้นที่การจัดการปัญหาตัดไม้ทำลายป่า การตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบคอบ และการให้เกษตรกรรายย่อยเข้ามาส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก
ในการกล่าวปาฐกถาพิเศษ Teoh Cheng Hai เลขาธิการคนแรกของ RSPO กล่าวถึงความสำเร็จของ RSPO ในการเป็นมาตรฐานชั้นนำระดับโลกสำหรับการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนในปัจจุบันโดยเน้นความสำคัญของการจับมือเป็นพันธมิตรเชิงนวัตกรรมให้เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ผลักดัน RSPO ให้เป็นผู้กำหนดมาตรฐานชั้นนำระดับโลกที่สามารถขับเคลื่อนห่วงโซ่อุปทานน้ำมันปาล์มที่ยั่งยืนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติปี 2573
Joseph D’Cruz ซีอีโอของ RSPO ได้ย้ำในคำกล่าวเปิดงานว่า RSPO มีความพร้อมอย่างดีที่จะตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต โดยกล่าวว่า “ด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของเรา RSPO พร้อมที่จะเผชิญกับอนาคต 20 ปีข้างหน้าด้วยมาตรฐานที่เสริมให้แข็งแกร่งขึ้น ระบบตรวจสอบที่พัฒนาดีขึ้นและสถาปัตยกรรมการรับรอง การค้า และการตรวจสอบย้อนกลับด้วยระบบดิจิทัลแบบครบวงจรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล”
เขายังเสริมว่ามาตรฐานที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นั้นยังถูกเสริมความแข็งแกร่งในการผสานเข้ากับระบบการรับรอง ผ่านแพลตฟอร์มการรับรอง การค้า และการตรวจสอบย้อนกลับของ RSPO ที่ชื่อว่า “prisma” ซึ่งย่อมาจาก Palm Resource Information and Sustainability Management (การจัดการข้อมูลทรัพยากรปาล์มและความยั่งยืน) ที่งาน RT2024ตัวแทนที่เข้าร่วมได้รับชมการสาธิตการทำงานของแพลตฟอร์ม prisma ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อให้บริการข้อมูลดิจิทัลและการตรวจสอบย้อนกลับในห่วงโซ่อุปทาน และยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนเพื่อให้สมาชิกเสริมประสิทธิภาพให้การประเมินความเสี่ยงและการตรวจสอบความรอบคอบ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านกฎระเบียบที่เกิดขึ้นใหม่
ส่งเสริมการปกป้องพื้นที่ที่มีคุณค่าการอนุรักษ์สูงเพื่อความยั่งยืนของน้ำมันปาล์ม
ในการประชุม RT2024 ครั้งนี้ RSPO และเครือข่ายการอนุรักษ์ที่มีมูลค่าสูง (High Conservation Value Network: HCVN) ได้ต่ออายุความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนานเพื่อส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดและแนวทางใหม่ ๆ ในการปกป้องพื้นที่ที่มีคุณค่าการอนุรักษ์สูง(HCV) โดยสอดคล้องกับมาตรฐาน RSPO ที่ปรับปรุงใหม่
ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อภารกิจร่วมกันในการปกป้องพื้นที่ป่าที่มีคุณค่าการอนุรักษ์สูง และพื้นที่กักเก็บคาร์บอนในปริมาณสูง (HCS) ในเขตพื้นที่น้ำมันปาล์มที่ยั่งยืนบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะช่วยเสริมสร้างการปกป้องระบบนิเวศความหลากหลายทางชีวภาพ และพื้นที่สำคัญต่อชุมชนชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่น
ณ ปี 2566 การรับรองมาตรฐาน RSPO ได้ปกป้องพื้นที่ป่าที่มีคุณค่าการอนุรักษ์สูงและกักเก็บคาร์บอนสูงมากกว่า 466,600 เฮกตาร์ นับตั้งแต่ที่นำแนวทาง HCV มาใช้ในเดือนพฤศจิกายน 2548 และแนวทาง HCS ในเดือนพฤศจิกายน 2561
การลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในการรับรองเกษตรกรรายย่อยอิสระของ RSPO
การดำเนินการรับรองเกษตรกรรายย่อยของ RSPO เติบโตอย่างมากในทั่วโลก โดยในปี 2566 มีเกษตรกรรายย่อยอิสระกว่า 40,000 รายที่ได้รับการรับรอง เพิ่มขึ้น 11,268 รายจากปี 2565 และปัจจุบันได้ขยายการรับรองไปยังโคลอมเบียเอกวาดอร์ และฮอนดูรัส
นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัทโกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “GGC ได้ทำงานร่วมกับ GIZ และ RSPO เพื่อสนับสนุนเกษตรกรปาล์มน้ำมันของเราในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เป้าหมายของเราคือการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลง 20%ภายในปี 2573 และบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net Zero) ภายในปี 2593
พร้อมกับส่งเสริมการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืนให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2568 การร่วมมือกันนี้จะไม่เพียงลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตรกรรม แต่ยังเสริมสร้างความยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม และส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของไทยในตลาดโลก”
ปัจจุบัน เกษตรกรรายย่อยกว่า 400,000 ครัวเรือนในประเทศไทยคิดเป็นพื้นที่ผลิตน้ำมันปาล์มถึง 85% ของพื้นที่ผลิตทั้งหมด ทั้งนี้ประเทศไทยมีสัดส่วนของเกษตรกรรายย่อยอิสระที่เป็นผู้หญิงที่ได้รับการรับรองจาก RSPO สูงที่สุดในโลกถึง 42% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 28%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : กบง. ปรับสูตรดีเซล หลังราคาน้ำมันปาล์มดิบพุ่ง เริ่ม 21 พ.ย.นี้