

ส.อ.ท. หนุน “TIPMSE” เดินหน้ารวมพลังขยายเครือข่าย เปิดทางผู้ผลิตทุกขนาด ขับเคลื่อน EPR กฎเกณฑ์การค้าโลกใหม่ปี 70 เน้นใช้ทรัพยากรเกิดประโยชน์สูงสุด ส่งคืนบรรจุภัณฑ์กลับมาใช้ใหม่ สร้างวงจรการใช้ทรัพยากรที่ยั่งยืน ลดปล่อยคาร์บอนสู่เป้าหมาย Net Zero
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท. ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน จัดงาน “PackBack in Action ปี 3 รวมพลังเดินหน้า: The Drive for EPR in Thailand” เพื่อแสดงเจตจำนงการใช้ทรัพยากรและวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความยั่งยืน โดยผู้ประกอบการไทยไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่หรือ SMEs ต้องมีความตื่นตัว เนื่องจากหลายมาตรการในต่างประเทศ ส่งผลกระทบต่อการส่งออก รวมถึงหาก พรบ.การจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนประกาศใช้ ทุกบริษัทก็จะต้องเข้าร่วมและดำเนินการตาม
คาดว่าจะเริ่มประกาศเป็นกฎหมายบังคับใช้ในปี 2570 นี้
ปัจจุบัน สถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม(TIPMSE) ภายใต้การดำเนินงานของ ส.อ.ท. ได้ประสานกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ในการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ภาคบังคับ โดยคาดว่าจะเริ่มประกาศเป็นกฎหมายบังคับใช้ในปี 2570 นี้
นายโฆษิต สุขสิงห์ รองประธาน ส.อ.ท. และประธานสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรึไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม (TIPMSE) กล่าวย้ำถึงบทบาทภาคเอกชนในการขับเคลื่อน EPR ร่วมกับภาครัฐในครั้งนี้ว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมกลยุทธ์การพัฒนาสิ่งแวดล้อมของประเทศซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยให้ภาคอุตสาหกรรมเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น
ที่ผ่านมา TIPMSE ทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการเตรียมความพร้อม ทั้งในแง่ของการให้ความเห็นต่อการพัฒนาร่างกฎหมายEPR การพัฒนามาตรการจูงใจ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อรองรับระบบ EPR การส่งเสริมการออกแบบตามหลักการการออกแบบเพื่อการรีไซเคิล (Design-for- recycling หรือ D4R) การสื่อสารเพื่อกระตุ้นให้เกิดการดำเนินการ (Call to Action) ในห่วงโซ่ความรับผิดชอบ และการนำหลักการ EPR มาสู่การทดลองทั้งโมเดลเก็บกลับในพื้นที่เป้าหมายในโครงการ Pack Back จังหวัดชลบุรี
โดยนำร่องใน 3 เทศบาลประกอบด้วยเทศบาลเมืองแสนสุขเทศบาลเมืองบ้านบึงและเทศบาลตำบลเกาะสีชัง และจะขยายไปอีก 9 เทศบาลในปี 2567 เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบเก็บขนของท้องถิ่น และยกระดับสู่การออกเทศบัญญัติหรือข้อบัญญัติท้องถิ่นซึ่งจะส่งผลให้เกิดต้นแบบการสนับสนุนท้องถิ่นที่แตกต่างกันตามบริบทของพื้นที่ซึ่งความท้าทาย อยู่ที่การทำอย่างไรให้ทั้งผู้ผลิตรายใหญ่ รายกลาง และรายเล็กเข้าใจและเข้าร่วมเพื่อเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับ EPR ภาคบังคับในอนาคตได้
กลไก EPR เป็นเครื่องมือสำคัญในการเดินหน้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ทั้งนี้ การพัฒนากลไก EPR โดยใช้ระบบภาคการผลิต จะเป็นเครื่องมือและกลยุทธ์ที่สำคัญในการเดินหน้าสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือน อย่างมีนัยสำคัญภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) สอดรับนโยบายภาครัฐในการนำโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า”BCG” (Bio-Circular-Green Economy) หรือเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว ที่นำเอาจุดแข็งของประเทศไทยมาพัฒนา โดยเฉพาะการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน(Circular Economy หรือ CE) มาเป็นแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืน
ภาคอุตสาหกรรมกำลังนำมาพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ภายใต้กฎเกณฑ์การค้าโลกใหม่ที่คำนึงถึงปัญหาโลกร้อนซึ่งเป็นภาวการณ์ที่ทุกประเทศต่างให้ความสำคัญ ดังนั้นการเกิดระบบ EPR ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นกลไกในการจัดการอย่างเป็นระบบครบวงจร เนื่องจากกฎหมายขยะปัจจุบันยังมีช่องโหว่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่เพียงเก็บขนกำจัดอย่างเดียว แต่ไม่มีบทบัญญัติเรื่องการคัดแยกและรีไซเคิล การประกาศ EPR เป็นกฎหมายบังคับใช้ในปี 2570 นี้ จึงเป็นเหมือนสัญญาณให้ทุกภาคส่วนเตรียมความพร้อมในการนำบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ส.อ.ท. รายงานการผลิตรถยนต์เดือน ก.ค. ลดลง 16.62 %