ปัญหา สินค้าราคาถูก คุณภาพต่ำจากจีน ที่บุกตลาดทั่วโลกในขณะนี้ ไม่ได้สร้างผลกระทบให้กับเฉพาะผู้ผลิตสินค้า หรือภาคอุตสาหกรรมการผลิตเท่านั้น แต่ผลกระทบยังลุกลามไปจนถึงภาคบริการด้วย
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจบริการโลจิสติกส์และขนส่ง ที่มีผู้ให้บริการจากจีนเข้ามาส่งสินค้าให้กับผู้บริโภค หรือธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นบริษัททัวร์ โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร ฯลฯ
ส่งผลให้นานาประเทศ เร่งหามาตรการแก้ปัญหา และสกัดสินค้าและบริการจากจีนเป็นการด่วน เพื่อปกป้องผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศ
ประเทศไทยก็เช่นกัน ที่ขณะนี้ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตื่นตัวหามาตรการรับมือเป็นการด่วน โดยงัดสารพัดมาตรการมาสู้ศึกใหญ่ครั้งนี้
เอกชนถกสถานทูตจีนจัดระเบียบการค้า
ในส่วนของภาคเอกชนนั้น “หอการค้าไทย” ได้ประสานความร่วมมือกับสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เพื่อติดตามดูแลสินค้าของทั้ง 2 ฝ่าย และโครงสร้างการค้าที่เป็นธรรมระหว่างกัน
โดยรัฐบาลจีนมีความตั้งใจที่จะร่วมมือกับไทยในการช่วยกำกับดูแลการทำธุรกิจและการค้าขายจากคนจีน ให้ทำอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทย และเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย
“นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์” รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ระบุว่า “หอการค้าไทย กังวลใจ และกำลังประสานงานกับสถานทูตจีน เพื่อหาแนวทางทำให้ทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายของไทย
จากนั้นจะรีบนำเสนอรัฐบาลไทยและจีน เพื่อจัดระเบียบ เพราะเราไม่สามารถกีดกันการค้าอย่างไม่มีเหตุผล เนื่องจากจะสร้างความเสียหายมากกว่า แต่เราต้องทำทุกอย่างให้เป็นการค้าเสรีที่เป็นธรรม ในเดือนก.ย.นี้ หอการค้าไทยจะแถลงข่าวการจัดระเบียบการค้าขายสินค้าของไทยและจีน“
นอกจากนี้ ยังต้องการให้หน่วยงานภาครัฐของไทย บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เช่น กำกับดูแลการนำเข้าสินค้าอาหาร หรือสินค้าเกษตร ที่ต้องได้มาตรฐานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สินค้าอุตสาหกรรมก็ต้องได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)
ส่วนกรมศุลกากร ก็ต้องเข้มงวดตรวจสอบสินค้าที่นำเข้าให้เป็นไปอย่างถูกต้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ หรือออฟไลน์
สินค้าทุนต่ำ ลามภาคบริการ-ท่องเที่ยว
ขณะที่ภาครัฐก็ได้เร่งหารือกับทางการจีนเพื่อแก้ปัญหาด้วย เพราะไม่ได้มีเพียงภาคอุตสาหกรรมการผลิตเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ ยังลามไปถึงภาคบริการด้วย
โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร บริษัทให้เช่ารถยนต์ ร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ จาก “ทัวร์ทุบตลาด” ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้ธุรกิจท่องเที่ยวหนักกว่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ”
สำหรับ “ทัวร์ทุบตลาด” เป็นกลุ่มคนจีนกลุ่มใหม่ที่เข้ามาทำธุรกิจในไทย ทำเองทั้งกระบวนการ ตั้งราคาขายแพ็กเกจทัวร์ให้นักท่องเที่ยวจีนในราคาต่ำสุดๆ แบบไม่สนใจต้นทุน ไม่สนใจขาดทุน ถ้าเจ๊งก็กลับไป และกลุ่มใหม่ก็เข้ามา โดยมีคนไทยเป็น “นอมินี” ร่วมทำธุรกิจด้วย
เป็นความตั้งใจทำให้ “ตลาดพังทั้งระบบ” เพราะเมื่อบริษัททัวร์ของไทยแข่งขันไม่ได้ ก็จะเจ๊ง และตายไปจากระบบ ซึ่งจะทำให้บริษัททัวร์ของจีนผงาดขึ้นมาครองตลาด
แต่หลังจากนั้น เมื่อพานักท่องเที่ยวจีนมาไทย ก็จะใช้วิธีการ “ข่มขู่” และ “บีบบังคับ” ให้ซื้อของ คนละ 70,000-100,000 บาท หากรัฐบาลไทยไม่แก้ปัญหา ไม่เกิน 1 ปีจากนี้ บริษัททัวร์ไทยจะตายไปในที่สุด
“นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า “อยากให้ทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมาย ที่ผ่านมาได้หารือร่วมกับทุกฝ่าย และทางการจีน ฝ่ายจีนไม่อยากให้สิ่งไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น จนกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีของ 2 ประเทศ
ส่วนเรื่องนอมินี ก็อยากให้คนไทยช่วยกันสอดส่องดูแล เพราะถือเป็นผลประโยชน์ของชาติ การมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยว ควรมีเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศ และตกถึงมือพ่อค้าแม่ขายคนไทยจริงๆ”
พาณิชย์ชงนายกฯ “อิงค์” ตั้งทีมระดับชาติสู้
ขณะที่ “นายภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ก็ได้หารือกับเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และทูตพาณิชย์จีนในไทย เกี่ยวกับสินค้าที่ทะลักเข้ามาผ่านแอปพลิเคชัน Temu แล้ว
โดยฝ่ายจีน รับจะดูแลและเจรจาให้ สินค้าใดที่มีปัญหาจากแพลตฟอร์มดังกล่าว ก็ให้ฝ่ายจีนเป็นคนแก้ปัญหาให้ สำหรับแอปฯดังกล่าว หากจะทำธุรกิจในไทย ก็ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย
สัปดาห์หน้า นายภูมิธรรมจะเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเอสเอ็มอี มาร่วมประชุม เพื่อรับฟังปัญหา และข้อเสนอแนะ โดยอาจตั้ง “คณะกรรมการ” ที่มีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ
ซึ่งจะเร่งหารือให้ได้ข้อสรุปภายในเดือนส.ค.นี้ เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) และนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พิจารณาเห็นชอบต่อไป
แต่ในเบื้องต้น เท่าที่ทำได้ คือ ใช้มาตรการทางกฎหมาย และมาตรการทางภาษี โดยต้องติดตามสินค้าที่เข้ามาว่า จดทะเบียนหรือไม่ จ่ายภาษีหรือไม่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการอย่างชัดเจน เข้มข้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้เชิญภาคการผลิต 30 กลุ่มธุรกิจ มาหารือแล้ว ซึ่งผู้ประกอบการชี้แจงว่า สินค้าราคาต่ำ ไร้มาตรฐาน ที่นำเข้ามานั้น กระทบต่อผู้ผลิตสินค้า ภาคบริการ การลงทุน และผู้บริโภค
อีกทั้งยังมีปัญหาลักลอบนำเข้าทางชายแดน การสำแดงพิกัดสินค้าที่เป็นเท็จ รวมถึงการเข้ามาตั้งธุรกิจที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศและผู้บริโภคไทย
จึงต้องการให้หน่วยงานภาครัฐ เพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบคุณภาพมาตรฐาน เพิ่มศักยภาพการผลิตและการประกอบธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ ปรับปรุงกฎหมาย และความตกลงระหว่างประเทศ ที่เป็นอุปสรรค
ส่วนวันที่ 23 ส.ค.นี้ ได้เชิญกลุ่มธุรกิจบริการ 12 กลุ่ม เช่น โลจิสติกส์และขนส่ง การศึกษา สภาวิชาชีพต่าง เช่น วิศวกร สถาปนิก ฯลฯ มาหารือด้วยเช่นกัน
เตรียมเก็บภาษีทุ่มตลาด “อะลูมิเนียมขึ้นรูป” จีน
อย่างไรก็ตาม ในการเยียวยาภาคการผลิตไทย ที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าราคาต่ำนั้น ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ใช้มาตรการเยียวยาทางการค้าภายใต้กฎหมายที่มีอยู่
ทั้งมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (ซีวีดี) และมาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) แต่ส่วนใหญ่ไทยจะใช้มาตรการเอดี
และเมื่อเร็วๆ นี้ ได้เปิดไต่สวนการทุ่มตลาด “อะลูมิเนียมอัดขึ้นรูป” จากจีนรวม 8 รายการ ตามที่ผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันในไทยได้ยื่นคำขอ เพราะเกิดความเสียหายจากสินค้านำเข้า
นอกจากนี้ ยังมีอีก 19 สินค้า ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์เหล็ก จากหลายประเทศ รวมถึงจีน ถูกใช้มาตรการเอดีต่อเนื่องจากปี 66 เช่น เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนจาก 14 ประเทศ และจีน มาเลเซีย บราซิล อิหร่าน ตุรกี เวียดนาม และอียิปต์
เหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นชนิดม้วนแผ่น และแผ่นแถบจากเกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น จีน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย, เหล็กแผ่นรีดเย็นชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนจากจีน เวียดนาม และไต้หวัน ฯลฯ
ขณะเดียวกัน มีอีก2สินค้าที่อยู่ระหว่างการทวบทวนจะใช้มาตรการต่อหรือไม่คือ เหล็กแผ่นรีดร้อนเจือโบรอนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนจากจีน และเหล็กแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียมและสังกะสีแบบจุ่มร้อนจากจีน เกาหลีใต้ และไต้หวัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : สกัด สินค้า ถูก ไร้มาตรฐานบุกไทยทั้งทางออฟไลน์-ออนไลน์
