

- เพราะทุกอย่างมีการเชื่อมโยงกันในหลายมิติ
- การเมือง บริหารไม่ดี เศรษฐกิจกระจุกตัว ไม่ส่งผลดีต่อประชาชนในระดับล่าง
- วิกฤติโควิด ทำให้เห็นความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยชัดเจนมากขึ้น
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวบนเวทีสัมมนา “ตื่น ฟื้น ฝัน” ไทยรัฐฟอรั่ม 2022 จัดโดยไทยรัฐกรุ๊ป ว่า หากมองถึงโอกาสของการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่จะฟื้นระบบการเมืองของประชาชนว่า การเมืองจะตื่นฟื้นขึ้นได้เมื่อคนในสังคมไทยมีฉันทามติขึ้น ซึ่งกรณีเดี่ยว 13 ของ “โน้ต อุดม” เป็นฉันทามติที่เห็นเด่นชัดที่สุด ถือเป็นสิ่งที่สะท้อนความคิดเห็นของคนในทุกชนชั้นว่า ต้องการเปลี่ยนแปลง
สำหรับการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ เพราะทุกอย่างมีการเชื่อมโยงกันในหลายมิติ ตัวอย่างเช่นการเมืองหากมีการบริหารที่ไม่ดีจะทำให้การลงทุนทางเศรษฐกิจกระจุกตัว และไม่ส่งผลดีต่อประชาชนในระดับล่าง
การแพร่ระบาดของโควิด ทำให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยชัดเจนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หลังมีการแพร่ระบาดของโควิด จีดีพีของกรุงเทพฯ 50 % หยุดชะงักลง จนส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ซึ่งทำให้หลายคนอยากให้เกิดการกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะถ้าประเทศไทยมีการกระจุกตัวทางเศรษฐกิจ สังคม ในอนาคตถ้าเกิดวิกฤติขึ้นอีกจะไม่สามารถเติบโตต่อไปได้

“การตื่นที่เห็นได้ชัดตอนนี้คือ รัฐประหารไม่ใช่คำตอบ การเมืองประชาธิปไตย ไม่มีทางลัด ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งไม่มีจริง ซึ่งการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ เป็นอีกสัญญาณบ่งบอกว่า คนไทยต้องการการเปลี่ยนแปลง”
ถ้าดูการเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 มีการเติบโต 2.5% อยู่อันดับ 6 ของอาเซียน ส่วนอันดับ 1 ของอาเซียน คือ สิงคโปร์ ซึ่งไทยตามหลังอยู่ 8 เท่า ดังนั้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด ถ้ากระจายเม็ดเงินทางเศรษฐกิจอย่างไม่เท่าเทียม จะทำให้เกิดการเติบโตแบบ K-Shape จนอาจเกิดวิกฤติของประชาชนตามมาได้ ส่วนการเมืองและการคอร์รัปชัน ในระยะเวลา 8 ปี จะเห็นว่ามีปัญหามากขึ้น ส่วนนโยบายความเป็นประชาธิปไตยก็ถูกจัดอันดับลดลง
ด้านสังคมถ้าเทียบจากดัชนีความสิ้นหวัง ไทยค่อนข้างมีความน่าเป็นห่วง เห็นได้จากคนฆ่าตัวตาย จากยาเสพติด สุราเรื้อรัง พบว่า 34 เปอร์เซ็นต์ คนไทยช่วงอายุ 15-22 ปี เสียชีวิตจากตัวปัจจัยเหล่านี้มากขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน ดังนั้นถ้ามองปัญหาสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาของรัฐบาลชุดนี้ถือว่าติดลบ 100 %
” เน้นย้ำถึงการพัฒนาเศรษฐกิจไทยขณะนี้มีเม็ดเงินที่สนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ S-Curve เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์อยู่ที่ 168 ล้านบาท ส่วนงบประมาณที่ดูแลเอสเอ็มอีอยู่ที่ 2 พันล้านบาท ส่วนงบประมาณเรือดำน้ำอยู่ที่ 2 พันกว่าล้านบาท จะเห็นถึงงบประมาณที่สูญเสียไปโดยไร้ประโยชน์”
ส่วนงบประมาณขีดความสามารถการแข่งขันด้านการเกษตร หรือเกษตรก้าวหน้าทันสมัย 5 หมื่นล้านบาท ยังใช้ไปกับการใช้หนี้ โดยเป็นงบที่ใช้หนี้ ธ.ก.ส. ซึ่งงบนี้มีการดำเนินการมากว่า 10 ปี แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เลยทำให้การพัฒนาการผลิตของเกษตรกรไทยยังไม่สามารถเติบโตได้
นายพิธา กล่าวว่า เป้าหมายการพัฒนาไม่ว่าจีดีพีของประเทศไทยจะเติบโตมากเท่าไร แต่ความเหลื่อมล้ำไม่ได้ถูกแก้ไขก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นการเติบโตทางเศรษฐกิจต้องควบคู่กับความเท่าเทียม ขณะที่ความเหลื่อมล้ำในด้านการครอบครองทรัพย์สิน และการเข้าถึงทรัพยากร ซึ่งการครอบครองที่ดินตอนนี้ 60 เปอร์เซ็นต์ ที่ดินเป็นของรัฐ ดังนั้นจะต้องกระจายที่ดินให้กับประชาชนมากขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ โดยเป้าหมายต้องการลดการครอบครองที่ดินของรัฐให้ได้ใน 5 ปี เพื่อกระจายการครอบครองที่ดินให้กับประชาชนมากขึ้น”
ขณะที่อุตสาหกรรมการส่งออกไม่อยากให้กระจุกตัวอยู่ที่อุตสาหกรรมรถยนต์ หรืออาหาร แต่อยากเห็นอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่กระจายไปในพื้นที่ต่างจังหวัด ดังนั้นการตั้งเป้าการเติบโตของไทยในอีก 5 ปี ตามแนวทางเหล่านี้จะทำให้ไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
ส่วนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจไทย ที่ผ่านมาไม่สามารถเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากความฝันของรัฐบาลและประชาชนที่มีร่วมกันยังไม่สอดคล้องกัน เพราะรัฐบาลพยายามฝันว่าจะอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด แต่ถ้ารัฐบาลมีความฝันว่าจะกระจายอำนาจเพื่อประชาชน จะต้องมีรากฐานการกระจายอำนาจที่แข็งแรง
สำหรับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ จะต้องเปลี่ยนแนวความคิดว่า ขณะนี้เศรษฐกิจโลกต้องการอะไร ไม่ใช่เราต้องการอะไร ขณะเดียวกันก็ต้องพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น การผลักดันอุตสาหกรรมรถยนต์อีวี แต่อุตสาหกรรมรถยนต์ที่ใช้น้ำมันจะเสียโอกาส ดังนั้นต้องสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเหล่านั้นปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลง
เช่นเดียวกับการท่องเที่ยว จะต้องกระจาย โดยต้องมีการสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปในเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้อย่างเท่าเทียม สิ่งเหล่านี้เป็นความฝันว่าประเทศไทยจะต้องเติบโตแบบ T-Shape โดยเศรษฐกิจเติบโตควบคู่กับสวัสดิการของประชาชน ที่มีความเท่าเทียมมากขึ้น.