

- ดูแลการถ่ายโอนภารกิจให้ราบรื่น
- ติดตามแก้ไขปัญหาอุปสรรค
- ให้ประชาชนได้รับบริการสุขภาพต่อเนื่องตามเดิม
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้าการถ่ายโอนภารกิจสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี (สอน.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จำนวน 3,263 แห่ง ไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 49 จังหวัด ว่า ประเด็นที่กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญสูงสุด คือ ประชาชนต้องไม่ได้รับผลกระทบจากการถ่ายโอนภารกิจครั้งนี้ ยังสามารถไปรับบริการต่างๆ กับ สอน.และรพ.สต.ที่โอนไปสังกัด อบจ.ได้เหมือนเดิม ทั้งนี้ ได้ตั้งคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการเพื่อรองรับการถ่ายโอนภารกิจฯ โดยตนเป็นประธานเอง เพื่อกำกับติดตามการดำเนินงานในภาพรวม และตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านบริหารจัดการ มี นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ดูแลทั้งเรื่องบุคลากร การเงินการคลัง ครุภณฑ์ ที่ดิน สิ่งก่อสร้าง และการจัดระบบบริการ
2) ด้านกฎหมาย มี นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 เป็นประธาน ทำหน้าที่รวบรวม วิเคราะห์ปัญหาและจัดทำแนวทาง/ข้อเสนอด้านกฎหมาย 3) ด้านวิชาการและติดตามประเมินผล มี นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นพ.ทรงคุณวุฒิ 11) เป็นประธาน จะรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์สถานการณ์ ปัญหาด้านวิชาการ และติดตามประเมินผลที่เกิดขึ้นจากการถ่ายโอน
และ 4) ด้านสื่อสารประชาสัมพันธ์ มี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ดำเนินการสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารการถ่ายโอน เพื่อสร้างความเข้าใจทั้งบุคลากรของสถานบริการที่ถ่ายโอนและประชาชนผู้รับบริการ
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า หลังมอบอำนาจให้แก่นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดในการลงนามถ่ายโอนภารกิจ สอน.และ รพ.สต.ให้แก่ อบจ. ล่าสุดถึงวันที่ 12 ตุลาคม 2565 มีการถ่ายโอนเพิ่มอีก 2 จังหวัด คือ เชียงราย และนนทบุรี ส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นมา มีการถ่ายโอนภารกิจ สอน.และ รพ.สต.แล้ว 8 จังหวัด รวม 577 แห่ง (ภูเก็ต 12 แห่ง สกลนคร 142 แห่ง นครปฐม 36 แห่ง ศรีสะเกษ 117 แห่ง ระยอง 40 แห่ง ปราจีนบุรี 94 แห่ง เชียงราย 118 แห่ง และนนทบุรี 18 แห่ง)
“ จากการติดตามยังไม่พบปัญหาในการจัดบริการประชาชน ได้ย้ำสสจ.ที่จะลงนามถ่ายโอนว่า อบจ.ที่จะรับถ่ายโอนต้องมีความพร้อมและมีคุณสมบัติตามระเบียบของกระทรวงสาธารณสุข ที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม และที่สำคัญ ต้องพร้อมที่จะจ้างพนักงานกระทรวงสาธารณสุข (พกส.) และลูกจ้างชั่วคราวต่อจากกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้การบริการประชาชนมีความต่อเนื่อง และบุคลากรไม่ได้รับผลกระทบ”