“สมคิด” ตั้งทีมดูดนักลงทุนหนีภัยสงคราม

  • สั่งบีโอไอตั้งทีมเฉพาะกิจชวนนักลงทุนต่างชาติ
  • “เจซีซี” ยาหอมความเชื่อมั่นทรุดแต่ขยับครึ่งปีหลัง
  • ญี่ปุ่นชวน “สมคิด” กล่อมนักลงทุนซามูไรย้ายฐานผลิต

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ขณะนี้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายก รัฐมนตรี ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ตั้งทีมขึ้นมาหนึ่งชุดประกอบไปด้วยหน่วย งานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน โดยทีมชุดนี้ จะเป็นหัวหอกในการดึงนักลงทุนจากทั่วโลกให้มาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนจากญี่ปุ่น จีน และฮ่องกง ที่ต้องการจะย้ายฐานการผลิตหนีภัยจากสงครามการค้า และสามารถใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต ก่อนกระจายไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

“ตอนนี้กำลังจัดเตรียมข้อมูลด้านต่างๆ เพื่อดึงนักลงทุนใช้ไทยเป็นฐานการผลิตในภูมิภาค โดยจะทำข้อมูลให้นักลงทุนที่ต้องการย้ายฐานการผลิตเห็นว่า ประเทศไทยตอนนี้ได้เตรียมอะไรเอาไว้บ้าง และมาไทยแล้วได้ประโยชน์อย่างไร ขณะที่บีโอไอเองจะจัดระบบการเดินทางไปเยี่ยมบริษัทต่างๆ และมีคนที่รับผิดชอบในการชักจูงนักลงทุนในกลุ่มที่ต้องการย้ายฐานให้ตัดสินใจเลือกไทยเป็นฐานในการลงทุน ซึ่งตอนนี้มองว่า แม้นักลงทุนกลุ่มดังกล่าวจะมีหลายประเทศให้เลือก แต่ทีมชุดนี้ จะไปชักจูงให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีบุคลากร และมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีมากกว่าที่อื่นๆ”

ด้านนายสมคิด กล่าวภายหลังหารือกับนายชินจิ นาคาโนะ ประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ หรือเจซีซี โดยภายนายสมคิด กล่าวภายหลังการหารือว่า ทางเจซีซีได้เข้ามาพบเพื่อรับฟังความชัดเจนในด้านนโยบายเศรษฐกิจจากรัฐบาล 2 เรื่อง 1.นักลงทุนญี่ปุ่นต้องการความมั่นใจในนโยบายของรัฐบาลจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ โดยเฉพาะนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี และการผลิตบุคลากร โดยให้ความมั่นใจว่า ไม่ต้องกังวลเพราะรัฐบาลจะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบาย แม้จะเป็นรัฐบาลผสมจากหลายพรรคการเมือง แต่ก็มีการตั้งครม.เศรษฐกิจขึ้นมา เพื่อบริหารนโยบายด้านเศรษฐกิจไปในทิศทางเดียวกัน

และ2. นักลงทุนได้ขอให้รัฐบาลช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจของนักลงทุนจากญี่ปุ่นในประเทศไทย โดยได้สอบถามถึงนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ ซึ่งนักลงทุนจากญี่ปุ่นไม่ได้กังวลกับเรื่องดังกล่าวมากนัก แต่ขอให้มีการหารือกันอย่างมีเหตุมีผล โดยชี้แจงไปว่าการพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงจะต้องผ่านกลไกของคณะกรรมการไตรภาคี ที่มีผู้เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย ฝ่ายรัฐ นายจ้าง และลูกจ้าง ที่มีกลไกในการพิจารณาอยู่แล้ว จึงได้ชี้แจงและให้ความเชื่อมั่นกับญี่ปุ่นไป

นอกจากนี้ เจซีซียังได้รายงานผลการสำรวจความเชื่อมั่นของนักธุรกิจญี่ปุ่นที่ลงทุนในประเทศไทยให้รับทราบก่อนจะเปิด เผยอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 ส.ค.นี้ โดยผลการสำรวจในช่วงครึ่งแรกของปีแรก พบว่า ความเชื่อมั่นลดลง เพราะนักลง ทุนส่วนใหญ่มีความกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งมีผลต่อการผลิตและส่งออก เรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่า และเรื่องการเมืองที่ไม่ชัดเจนในช่วงครึ่งปีแรก ทำให้เกิดความวิตกกังวล แต่ในช่วงครึ่งปีหลังมองว่า สถานการณ์จะดีขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ไทยเองต้องสร้างความมั่นใจมากขึ้น

นอกจากนี้เจซีซียังเชิญรองนายกฯ พร้อมคณะไปเยือนประเทศญี่ปุ่น เพื่อพบปะกับผู้บริหารจากบริษัทรายใหญ่ต่างๆ ของญี่ปุ่นด้วย ซึ่งรองนายกฯ ก็ยินดีที่จะเดินทางไป แต่ตอนนี้จะต้องขอพิจารราวันและเวลาที่เหมาะสม เบื้องต้นน่าจะเป็นใน ช่วงเดือนต.ค.นี้ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ นอกจากจะไปพบปะผู้บริหารแล้ว จะมีการจัดสัมมนาชี้แจงนโยบายการดึงดูดนักลง ทุนจากญี่ปุ่นให้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตในภูมิภาคด้วย