ดัชนีค้าปลีกไตรมาส 3 ไม่กระเตื้องหวัง Q4 ฟื้น สมาคมค้าปลีกไทยหนุนรัฐเร่ง FTA ปฏิรูปการจ้างงานพร้อมสร้างซอฟต์พาวเวอร์ไทยช่วยเอสเอ็มอี

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำไตรมาสสาม ปี 2566 พบว่า ลดลงมาที่ 46.4 จุด ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 จุด ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ในรอบปี 2566 ปัจจัยฉุดยังคงเป็นปัจจัยเดิมที่รอการเยียวยา ประกอบด้วย กำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ, หนี้ครัวเรือนสูง, ราคาพลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงการท่องเที่ยวที่เป็นช่วง           โลว์ซีซั่น ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก ระยะ 3 เดือนจากนี้ (ต.ค.-ธ.ค.) เพิ่มขึ้น 12.0 จุด เนื่องจากความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาล มาตรการลดค่าใช้จ่าย เช่น ค่าไฟ ค่าน้ำมัน นโยบายวีซ่าฟรีให้นักท่องเที่ยวชาวจีนและคาซัคสถาน รวมถึงการโหมโปรโมชั่นของร้านค้าในช่วงไตรมาสสุดท้าย ที่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงเทศกาลปลายปีได้ดีขึ้น

นายฉัตรชัยตวงรัตนพันธ์รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า “ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ (Retail Sentiment Index – RSI) ในภาพรวมพบว่า ดัชนี RSI (QoQ) ไตรมาสสาม 2566 เมื่อเทียบกับไตรมาสสอง 2566 “ซบเซา 3 เดือนต่อเนื่อง” โดยลดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ทั้งดัชนียอดขายสาขาเดิม SSSG (Same Store Sale Growth) QoQ , ยอดใช้จ่ายต่อครั้ง (Spending Per Bill หรือ Per Basket Size) และ ความถี่ในการจับจ่าย (Frequency on Shopping) สะท้อนถึงผู้บริโภคฐานราก กำลังซื้อยังอ่อนแอ โดยลังเลที่จะจับจ่ายและมุ่งเน้นสินค้าที่จำเป็น

โดยเมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกจำแนกตามประเภทร้านค้าปลีกพบว่าธุรกิจห้างสรรพสินค้า, แฟชั่น, สุขภาพ-ความงาม, ร้านวัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งและซ่อมบำรุง, ร้านไอที เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ ส่วนร้านสะดวกซื้อ, ซูเปอร์มาร์เก็ต มีการชะลอตัวลง และร้านค้าส่ง ไฮเปอร์มาร์เก็ต ภัตตาคาร ร้านอาหาร ยังซบเซา นอกจากนี้เมื่อจำแนกตามภูมิภาคพบว่า กรุงเทพ ปริมณฑล เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ ในขณะที่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึมลึก ส่วนภูมิภาคอื่นๆชะลอตัว

ทางสมาคมฯ จึงเห็นด้วยกับภาครัฐเกี่ยวกับนโยบายเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน ซึ่งมาตรการลดค่าไฟและน้ำมัน มาตรการฟรีวีซ่าจีน และการเพิ่มเที่ยวบินถือว่าเป็นมาตรการที่มาถูกที่ถูกเวลา อย่างไรก็ตามสมาคมผู้ค้าปลีกไทยมี ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมที่จะช่วยขับเคลื่อนภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศซึ่งเชื่อมโยงกับภาคค้าปลีกและบริการดังนี้

  1. มาตรการกระตุ้นการจับจ่ายเพื่อจูงใจกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อโดยการลดหย่อนภาษีประจำปีระหว่างเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมเพื่อไม่ให้เกิดการชะลอการจับจ่ายในส่วนของนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทขอเสนอให้เพิ่มการหารือร่วมกับภาคเอกชนและสมาคมต่างๆเพื่อให้การดำเนินนโยบายเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
  2. เปิดตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพด้วยการเร่งเจรจา FTA Thai-EU ให้เร็วที่สุดและสนับสนุนการเข้าเป็นสมาชิกเขตเสรีการค้าอื่นเพิ่มเติมเช่น BRICS เป็นต้นเพื่อให้เกิดการลงทุนและเกิดการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง
  3. แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานภาคค้าปลีกบริการด้วยการเพิ่มการจ้างงานให้หลากรูปแบบและพัฒนาทักษะแรงงานเช่นการจ้างงานอิสระการจ้างงานประจำรายชั่วโมงโดยคำนึงถึงอุปสงค์และอุปทานในตลาดแรงงานเป็นหลักและไม่จำกัดสิทธิเฉพาะสัญชาติรวมถึงการกำหนดค่าจ้างตามระดับคุณวุฒิวิชาชีพที่สอดคล้องกับระดับสมรรถนะตามมาตรฐานอาชีพของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เพื่อเพิ่มผลิตผลต่อแรงงานแทนการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ
  4. ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SME สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายไม่ซับซ้อนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจมากกว่าการพักชำระหนี้เพียงอย่างเดียว
  5. สร้างความแข็งแกร่งให้กับซอฟต์เพาเวอร์ไทยด้วยการสนับสนุนสินค้าไทยผ่านการจัดตั้งโครงการ Thailand Brand เพื่อเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าของ SME ไทยปีละ 2 ครั้งในทุกช่องทางของร้านค้าทั้งส่วนกลางและภูมิภาคเพื่อเพิ่มการจับจ่ายโดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเริ่มต้นเร่งด่วนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
  6. สนับสนุนให้จังหวัดภูเก็ตเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการค้าเต็มรูปแบบทั้งด้านไลฟ์สไตล์, กีฬา, เอ็นเตอร์เทนเมนท์และช้อปปิ้ง

ทั้งนี้ทางสมาคมฯ ยังได้เผยผลสำรวจ “ประเด็นเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีก” ของผู้ประกอบการ ระหว่างเดือนกรกฎาคม – เดือนกันยายน 2566 อาทิ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับขึ้นราคาสินค้าของผู้ประกอบการ

#1.ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับขึ้นราคาสินค้าของผู้ประกอบการ

  • ร้อยละ 80  ต้นทุนสูงขึ้น
  • ร้อยละ 37  ราคาสินค้าและบริการอื่นที่ไม่ใช่ต้นทุนปรับสูงขึ้น
  • ร้อยละ 23  รักษากำไร
  • ร้อยละ 20  คู่แข่งปรับขึ้นราคา และ การส่งผ่านต้นทุนได้ไม่ทั้งหมด

#2สถานะสภาพคล่องธุรกิจ

  • ร้อยละ 24  มีสภาพคล่องอยู่ได้ 3-6 เดือน
  • ร้อยละ 26  มีสภาพคล่องอยู่ได้ 6-12 เดือน
  • ร้อยละ 50  มีสภาพคล่องอยู่ได้ มากกว่า 12 เดือน

#3ปัจจัยสนับสนุนและความเสี่ยงต่อธุรกิจใน 3 เดือนข้างหน้า

ปัจจัยสนับสนุน

  • การทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย
  • มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ

ปัจจัยเสี่ยง

กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง

ต้นทุนปรับเพิ่มขึ้น

การแข่งขันที่สูงขึ้น

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เชื่อว่าแม้ภาพรวมค้าปลีกและบริการในปัจจุบันยังอยู่ในช่วงเปราะบาง แต่หากรัฐบาล        เร่งเครื่องฟื้นฟูสุขภาพเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่องและตรงจุด ประกอบกับทุกฝ่ายร่วมแรงร่วมใจกัน จะสามารถนำพาให้เศรษฐกิจไทยกลับมามีเสถียรภาพที่มั่นคงและเดินหน้าอย่างเข้มแข็งอีกครั้ง โดยสมาคมผู้ค้าปลีกไทยยินดีให้ความร่วมมือกับภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ นายฉัตรชัย กล่าวทิ้งท้าย