ไม่จบ..ค่าโดยสารสายสีเขียว65บาทเคลียร์ไม่ลงตัวหลัง “บิ๊กตู่” เรียก “ศักดิ์สยาม-พล.อ.อนุพงษ์” ด่วน!แจงเหตุผลคำนวณราคาไม่ตรงกัน

นายกรัฐมนตรี เรียก “พล.อนุพงษ์-ศักดิ์สยาม” ถกต่อสัญญาสายสีเขียว ยังไม่ได้ข้อยุติ หลังมองราคาค่าโดยสารคนละมุม ด้าน มหาดไทย ยัน65 บาท ขณะที่ คมนาคม ชี้ 50บาทอยู่ได้ และกังวลใช้ม.44 หวั่นปฏิกิริยาสังคมรับไม่ได้เป็นเป้าถูกซักฟอก

เมื่อวันที่4 ธค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว. คมนาคม ได้หารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในประเด็นต่อสัญญาโครงการรถไฟฟ้าสีเขียว

ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ ให้ขยายอายุสัมปทาน ที่จะหมดในปี 2572 ไปอีก 30 ปี จนถึงปี 2602 และ แปลงสัญญาสัมปทาน เป็นสัญญาร่วมลงทุน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามพรบ.ร่วมลงทุน เนื่องจากได้รับการยกเว้นตามคำสั่งหัวหน้าคสช. ซึ่งอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี 2557

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการหารือวันนี้ ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะมีความเห็นไม่ตรงกันหลายประเด็น และ นายกฯ ได้สั่งการให้ 2 กระทรวง ไปหารือกันให้ได้ข้อยุติ เพื่อนำเสนอแนวทางปฏิบัติมาให้พิจารณา ก่อนจะเสนอเข้าที่ประชุม ครม.อีกครั้ง

ส่วนประเด็นสำคัญที่มีการพิจารณากัน และไม่มีข้อยุติ คือ ราคาค่าโดยสาร ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกทม. เสนอไม่เกิน 65 บาท ตลอดสาย ในขณะที่ กระทรวงคมนาคม โดยกรมการราง เห็นว่าเป็นราคาที่สูงเกินไป และ คำนวณราคาที่เหมาะสมอยู่ที่ 50 บาท ซึ่งเป็นอัตราที่ผู้ประกอบการมีกำไร และ ประชาชนสามารถใช้บริการได้มากขึ้น อีกทั้งเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน อีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งความแตกต่างของราคาค่าโดยสาร เป็นประเด็นสำคัญที่นายกฯ ให้ไปพิจารณาทบทวนใหม่ เนื่องจากมีผลกระทบต่อประชาชน รวมถึงการขยายอายุสัมปทานไปอีก 30 ปี ในขณะที่สัมปทานปัจจุบันมีอายุอีก 9 ปี เหมาะสมหรือไม่

ประเด็นสำคัญอีกประเด็น คือความถูกต้องด้านกฎหมาย และรายละเอียดของสัญญาที่จะมีการแปลงสัญญาสัมปทาน เป็นสัญญาร่วมลงทุน โดยไม่ปฏิบัติตามพรบ.ร่วมลงทุน ฯ แม้จะได้รับการยกเว้นด้วยคำสั่งคสช.ตามมาตรา 44 แต่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมด้วย เนื่องจากคำสั่งคสช.ฉบับนี้ ออกเมื่อปี 2562 หลังจากมีการใช้รัฐธรรมนูญ 2560 แล้ว 2 ปี จึงต้องพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่ และเป็นคำสั่งที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ปี 2560 หรือไม่ ซึ่งต้องคำนึงถึงปฏิกิริยาของสังคมด้วย และเป็นประเด็นที่พรรคฝ่ายค้าน ชี้ว่าไม่มีความชอบธรรม และจะใช้เป็นประเด็นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และ รมว.มหาดไทย