“ไบเดน” กล่าวสุนทรพจน์หลังรับตำแหน่งผู้นำคนที่ 46

  • ย้ำไม่ได้มาฉลองชัยชนะแต่ฉลองประชาธิปไตย
  • ลั่นเร่งเดินหน้าซ่อมแซม ฟื้นฟู เยียวยาประเทศ
  • พร้อมเป็นพันธมิตรที่เชื่อใจได้ สร้างความมั่นคง สันติ

วีโอเอไทย รายงานว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้กล่าวสุนทรพจน์เมื่อวันพุธที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา หลังทำพิธีปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 46 โดยได้เรียกร้องให้ชาวอเมริกัน หันหน้าเข้าหากันเพื่อเยียวยาความแตกแยกภายในประเทศ พร้อมกล่าวว่า สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับปัญหาและความท้าทายหลายด้านพร้อม ๆ กัน ซึ่งถือเป็นบททดสอบอันหนักหน่วงที่สุดในช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ 

            โดยวีโอเอไทย ได้สรุปสุนทรพจน์ของนายไบเดน ดังนี้  

นี่เป็นวันของประชาธิปไตย วันแห่งประวัติศาสตร์ และความหวัง ของการเริ่มต้นใหม่และความแน่วแน่ อเมริกาได้ถูกทดสอบอีกครั้งผ่านความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคสมัย และอเมริกาได้ยืนหยัดต่อสู้กับความท้าทายเหล่านี้ วันนี้เราไม่ได้ฉลองชัยชนะของผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใดคนหนึ่ง แต่เรามีสิ่งที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง นั่นคือ ประชาธิปไตย คนในประเทศ เสียงของคนในประเทศได้รับการรับฟัง และความต้องการของพวกเขาก็ได้รับการใส่ใจ 

เราได้เรียนรู้อีกครั้งว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งล้ำค่า ประชาธิปไตยนั้นเปราะบาง และชั่วโมงนี้ มิตรสหายทั้งหลาย ประชาธิปไตยได้รับชัยชนะแล้ว 

เราจะเดินหน้าด้วยความรวดเร็วและความเร่งด่วน เพราะเรามีภารกิจหลายอย่างในฤดูหนาวแห่งภยัน อันตรายและโอกาสที่สำคัญ มีหลายเรื่องที่ต้องซ่อมแซม หลายเรื่องที่ต้องฟื้นฟู หลายเรื่องที่ต้องเยียวยา หลายอย่างที่ต้องสร้าง และหลายอย่างที่ต้องเพิ่มพูน น้อยคนนักในประวัติศาสตร์ของประเทศเรา จะเคยประสบปัญหา  หรือประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากและท้าทายมากไปกว่าช่วงเวลานี้ 

เราเสียงานไปหลายล้านตำแหน่ง ธุรกิจห้างร้านหลายแสนต้องปิดตัวลง เสียงเรียกร้องความยุติธรรมทาง สีผิว ที่มีมาเป็นเวลา 400 ปี ทำให้เราต้องออกมาเคลื่อนไหว ความฝันที่จะได้เห็นความยุติธรรมสำหรับทุกคนจะไม่ถูกผลัดผ่อนอีกต่อไปแล้ว เสียงร้องขอชีวิตดังมาจากโลกของเราเอง และเป็นเสียงร้องที่ไม่สามารถแสดงความสิ้นหวังและชัดเจนไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว นอกจากนี้ ยังมีความสุดโต่งทางการเมือง กลุ่มเชิดชูคนผิวขาวแบบสุดโต่ง และการก่อการร้ายภายในประเทศ ที่เราต้องเผชิญและต้องเอาชนะให้ได้ 

ผมเข้าใจดีว่าคนอเมริกันหลายคนมองอนาคตด้วยความหวาดกลัวและประหวั่นพรั่นพรึง แต่ทางออก ไม่ได้อยู่ที่การสนใจแต่ตัวเอง หรือการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่เชื่อใจกลุ่มคนที่รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนคุณ หรือไม่ได้เคารพบูชาเช่นเดียวกับคุณ หรือไม่ได้เสพข่าวจากแหล่งเดียวกับคุณ เราต้องยุติสงครามที่ไร้อารยธรรมนี้ ที่ทำให้ฝ่ายสีแดงหันมาสู้กับฝ่ายสีน้ำเงิน ทำให้คนชนบทหันมาต่อสู้กับคนเมือง ทำให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมต่อสู้กับกลุ่มหัวก้าวหน้า เราแก้ปัญหานี้ได้หากเรายอมเปิดจิตวิญญาณ แทนที่จะทำให้จิตใจเราตายด้านไร้ความรู้สึก 

เราจะเป็นผู้นำโดยการเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้อำนาจ และด้วยอำนาจของการเป็นตัวอย่างที่ดี เราจะเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งและเชื่อใจได้ในการสร้างสันติ ความก้าวหน้า และความมั่นคง 

ทุกคน นี่เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างยิ่ง เราต้องเผชิญกับการโจมตีประชาธิปไตยของเราและการทำร้ายข้อเท็จจริง ท่ามกลางการระบาดของไวรัส ความไม่เสมอภาคที่มากยิ่งขึ้น การเหยียดผิวอย่างเป็นระบบ วิกฤติสภาพภูมิอากาศ บทบาทของอเมริกาในเวทีโลก ปัญหาเหล่านี้เพียงปัญหาเดียว ก็สร้างความท้าทายให้เรามากพออยู่แล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ คือ เราต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านี้พร้อมกัน เป็นความรับผิดชอบที่ใหญ่หลวงที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา นี่เป็นช่วงเวลาที่เรากำลังถูกทดสอบ 

ขอให้ทุกคนเคารพกันและกัน การเมืองไม่จำเป็นต้องลุกเป็นไฟ ทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า การเห็นไม่ลง รอยกัน ไม่จำเป็นต้องกลายมาเป็นสาเหตุของสงคราม และเราจะต้องไม่ยอมรับวัฒนธรรมที่นำความเป็นจริงมาบิดเบือน หรือการนำความจริงปลอมแปลง 

ผมรู้ว่าการพูดถึงความสมานฉันท์ในทุกวันนี้ สำหรับบางคนอาจจะฟังดูเหมือนการเพ้อฝันที่เหลวไหลไร้สาระ ผมรู้ว่าแรงขับเคลื่อนที่แบ่งแยกพวกเรานั้นหยั่งลึก และเป็นแรงขับที่มีอยู่จริง แต่ผมก็รู้ด้วยว่า แรงขับเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ประวัติศาสตร์ของเราเป็นประวัติศาสตร์ของการต่อสู้กันอยู่เสมอ ระหว่างอุดมคติของอเมริกาที่มองว่าทุกคนเกิดมาเท่ากัน และความเป็นจริงอันน่าเกลียด เช่น การเหยียดผิว ชาติภูมินิยม และการสร้างภาพลักษณ์ความเป็นปีศาจให้แก่ฝ่ายตรงข้าม ที่สร้างควาแตกแยกในสังคมมาเป็นเวลานาน