ไทยเสียแชมป์ส่งออกเม็ดสาคูไปญี่ปุ่น

  • หลังไต้หวันแห่เปิดร้านขายชานมไข่มุกจำนวนมาก
  • ขณะที่ผลผลิตมันสำปะหลังไทยหด-เงินบาทแข็ง
  • เชื่อถ้าผลผลิตเพิ่มไทยกลับมาทวงแชมป์คืนได้แน่

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น รายงานว่า ตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นมา ไทยส่งออกเม็ดสาคู (เม็ดไข่มุก) ที่ผลิตจากแป้งมันสำปะหลัง สำหรับใส่ในชานมไข่มุกไปประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือเฉลี่ยปีละ 1,500-2,500 ตัน เพราะกระแสความนิยมของเครื่องดื่มชานมไข่มุกในกลุ่มวัยรุ่น โดยไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ คอรงส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในญี่ปุ่น ตามด้วยไต้หวัน ที่ส่งออกเฉลี่ยปีละ 300-400 ตัน

แต่ล่าสุด ตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ค.62 ญี่ปุ่นนำเข้าจากทั้ง 2 ประเทศสูงถึง 6,270 ตัน เพิ่มขึ้น 4.5 เท่า คิดเป็นมูลค่า 2,100 ล้านเยน เพิ่มขึ้น 5.8 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมากกว่าปริมาณการนำเข้าปี 61 สูงถึงกว่า 2,828 ตัน โดยในปริมาณที่นำเข้าเพิ่มขึ้นมากนั้น ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากไต้หวัน บ้านเกิดของชานมไข่มุก

สาเหตุสำคัญนำเข้าเม็ดสาคู และวัตถุดิบทดแทนเม็ดสาคูจากไต้หวันเพิ่มขึ้นมาก มาจากการเพิ่มขึ้นของร้านจำหน่ายชานมไข่มุกจากไต้หวัน ที่เข้ามาเปิดในญี่ปุ่น ส่งผลให้มีการนำเข้าเม็ดสาคูจากไต้หวันเพิ่มขึ้นมากจนทำให้ไทยเสียแชมป์ส่งออกอันดับ 1 ประกอบกับ ผลผลิตมันสำปะหลังของไทยลดลง จากโรคใบด่างระบาด และภาวะภัยแล้ง รวมถึงค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้ราคาส่งออกแป้งมันของไทย วัตถุดิบสำคัญที่ใช้ทำเม็ดสาคู สูงขึ้นมากนับตั้งแต่ปี 60 และราคาพุ่งขึ้นไปสูงสุดในเดือนพ.ค.61 ที่ตันละ 550 เหรียญสหรัฐฯ สูงสุดในรอบ 7 ปี แม้ปัจจุบัน ราคาลดลงมาอยู่ที่ตันละ 450 เหรียญฯ แต่ยังสูงอยู่ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า เมื่อผลผลิตมันสำปะหลังของไทยเพิ่มขึ้น และค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น ไทยน่าจะสามารถชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมาได้เช่นเดิม