โตชิบา ไทยแลนด์ตั้งเป้ายอดขายเติบโตถึง 20% อัดงบการตลาดเพิ่ม 3 เท่าดันสินค้าใหม่ 52 รุ่นสู่ตลาดดึง “หมาก ปริญ” เข้าถึงคนรุ่นใหม่

  • โตชิบา วางเป้าหมายเติบโตแรงถึง 20%
  • คาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้กลับมาเติบโตจากมาตรการรัฐ
  • แนะนำสินค้าใหม่ 52 รุ่น อัดงบการตลาดเพิ่ม 3 เท่า
  • ดึง “หมาก ปริญ” ขยายฐานจับลูกค้ารุ่นใหม่

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีนี้ตนมองว่าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอนที่เห็นได้ชัดจากมาตรการวีซ่าฟรีของรัฐซึ่งมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญน่าจะถึงเป้าหมายที่คาดกันไว้ในปีนี้ 35 ล้านคน ขณะที่ภาครัฐได้กระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง รวมไปถึงการส่งเสริมซอฟต์เพาเวอร์ของไทย จะได้ในการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นมากขึ้น 

ขณะเดียวกันโครงการ Easy E- Receipt ของรัฐที่เริ่มหลัง 1 ม.ค-15 ก.พ.67 เริ่มเห็นผลโดยเฉพาะตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งกรุงเทพฯและต่างจังวหัดที่เติบโตขึ้นในระหว่างนี้ถึง 5-10% โดยโตชิบาได้เตรียมพร้อมตั้งแต่หลังปีใหม่ด้วยการเทรนด์คู่ค้าให้พร้อมรับมือกับโครงการนี้

“ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีคาดว่าจะได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เพียงแต่ว่าอุตสาหกรรมไหนเตรียมตัวพร้อม ต้องช่วยตัวเองวิ่งไปพร้อมกับรัฐบาลไม่ใช่มานั่งรอว่าโอกาสเมื่อไรจะมาถึง”

สำหรับความท้าท้ายปีนี้ ทางโตชิบาห่วงต้นทุนมากกว่า ในกรณีที่เกิดความไม่แน่นอนเกิดขึ้นโดยเฉพาะผลกระทบจากปัญหาสงคราม ทำให้ค่าขนส่งตู้คอนเทนเนอร์เมื่อเทียบก่อนหน้านี้เพิ่มขึ้นถึงสองเท่า จึงต้องบริการการผลิตให้โรงงานในประเทศไทยผลิตให้มากขึ้น เลยไม่ต้องไปยุ่งเรื่องตู้คอนเทนเนอร์ ตอนนี้ทำทุกวิถีทางเลย ปีที่แล้วตู้เย็น และเครื่องซักผ้าเราก็เพิ่มการผลิตรวมถึงในปีนี้

ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ารวมปีที่แล้วหดตัว 6%

มร.อเล็กซ์ มา รองประธานบริษัท บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าประเทศไทย (รวมกลุ่มโทรศัพท์มือถือ โน้ตบุ๊ก กล้องถ่ายรูป เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และกลุ่มทีวี)ในปี 2566 ว่ามีมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 260,358 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2565 และถ้ามองในมุมจำนวนสินค้า จะอยู่ที่ประมาณ 44,886 ล้านเครื่องต่อปี ลดลงประมาณ 6%  

แต่ถ้ามองเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (รวมตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านขนาดเล็ก) ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 30% ของตลาดรวม จะมีมูลค่าตลาดประมาณ 75,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ราว 10% ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม อาทิ สภาพอากาศที่ร้อนจัดในหน้าร้อนปีที่ผ่านมา 

แต่โตชิบาเติบโต 14% สวนตลาด

ในส่วนผลการดำเนินงานของโตชิบา ไทยแลนด์ มร.อเล็กซ์ มา เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง โดยในปี 2566 ผลประกอบการรวมเติบโตกว่า 14% โดยกลุ่มสินค้าที่สร้างรายได้สูงสุด ได้แก่ สินค้ากลุ่ม ตู้เย็น มีอัตราการเติบโต 4.3% รองลงมา ได้แก่ กลุ่มเครื่องซักผ้า เติบโต 16.1%  ในขณะที่กลุ่มสินค้าอื่น เช่น กลุ่ม   เตาอบไมโครเวฟ เติบโต 37.5% กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เติบโต 18.1%  กลุ่มสินค้าเกี่ยวกับน้ำ เติบโต 14.8% และกลุ่มเครื่องปรับอากาศ เติบโตสูงถึง 127.6% และตลอด 4 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562-2566) เราสามารถรักษาการเติบโตเฉลี่ย 4 ปี ได้ถึง 11.1% 

ปีนี้ตั้งเป้าเติบโตถึง 20%

สำหรับปี 2567 นี้ ซึ่งเป็นปีที่โตชิบา ไทยแลนด์ ดำเนินธุรกิจครบรอบ 55 ปี  เราตั้งเป้าเติบโตกว่า 20% โดยสินค้ากลุ่มตู้เย็น ตั้งเป้ารุกตำแหน่งใหม่ ให้มีส่วนแบ่งการตลาดขึ้นเป็นอันดับ 2 ด้วยสัดส่วน 15%  ในขณะที่กลุ่มเครื่องซักผ้ารักษาตำแหน่งอันดับ 3 แต่เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 10%  กลุ่มเตาอบไมโครเวฟ ชิงตำแหน่งอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 29% 

สำหรับกลยุทธ์ปีนี้ เรามีแผนการเปิดตัวสินค้าใหม่มากถึง 52 รุ่น โดยเน้นสินค้ากลุ่ม Mid to High เพื่อรองรับดีมานด์ที่มากขึ้น ในขณะเดียวกันขยายช่องทางการจัดจำหน่าย โดยเน้นขยายจุดวางสินค้ากลุ่มไฮเอนด์มากขึ้น รวมไปถึงการสร้าง Experience Store ที่เน้นการโชว์สินค้ากลุ่ม Smart Solution ซึ่งเป็นเทรนด์ของคนยุคใหม่ที่รักความสะดวกสบาย ใช้เทคโนโลยีมาเป็นส่วนหนึ่งในการควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านมือถือ  

นอกจากนี้ยังได้ขยายฐานลูกค้าเข้าหากลุ่มคนหนุ่มสาวมากขึ้น จากเดิมลูกค้าโตชิบาเป็นกลุ่มเจนเอ็กซ์อายุระหว่าง 42-56 ปีซึ่งเป็นสัดส่วนถึง 23.6% จะขยายลงไปถึงกลุ่มเจนแซดท่ีอายุระหว่าง 12-26 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าในสัดส่สน 19.4% 


“ปีนี้จะเพิ่มงบการตลาดขึ้นเป็นสามเท่าคิดเป็นสัดส่วนยอดขายถึง 15% เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว โดยจะมี “หมาก ปริญ สุภารัตน์” พระเอกสุดหล่อเข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์  เข้าถึงฐานลูกค้าหลักเดิมและขยายไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ดีขึ้นด้วย ทั้งนี้มีแผนโปรโมทแคมเปญแบบครบวงจร 360 องศา นอกจากสื่อทีวีและออนไลน์แล้ว มีสื่อนอกบ้าน (Out of Home) สื่อรถไฟฟ้า สื่อสิ่งพิมพ์ ณ จุดขาย  รวมไปถึงการทำ  คอนเทนต์ดิจิทัลและโซเชียลมาร์เก็ตติ้งอีกมากมาย อีกทั้งมีการเสริมทัพด้วย KOLs ที่มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์  สื่อวิทยุ รวมไปถึงโรดโชว์ต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ใช้งานจริง ณ ร้านค้า ตัวแทนจำหน่ายและย่านชุมชน”