

- เดินหน้าปราบผู้ค้าขายเกินราคา 80 บาท
- เน้นรายใหญ่ ยี่ปั๊ว ผู้ค้าออนไลน์
- ย้ำเกิดปัญหาเพราะไม่มีระบบควบคุมการกระจายสลาก
นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผู้ที่ได้รับความเดือนร้อนจากการเสนอหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า วันนี้ (28 ก.พ.) จะมีการประชุมคณะกรรมการชุดดังกล่าว เพื่อเดินหน้าภาระกิจแก้ปัญหาหวย ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมาย โดยจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการขั้นมา เพื่อรวบรวมปัญหาอุปสรรค ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ในช่วงที่ผ่านมา และจะเสนอแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ เพื่อสั่งการต่อไป โดยจะกำหนดกรอบเวลาการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้ภายใน 2 เดือนเท่านั้น
ทั้งนี้ต้องยอมรับปัญหาหวยแพง มาจากการนำไปขายช่วง ขายต่อ มียี่ปั๊วรับซื้อ เพื่อรวมชุด แล้วนำไปขายต่อให้กับผู้ค้ารายย่อย มันก็ต้องแพงเป็นธรรมชาติ เพราะจุดเริ่มต้นจากสำนักงานสลากฯ ขายใบละ 70.40 บาท เมื่อมีคนรับซื้อมาแล้ว นำมาขายต่อ ขายช่วง ให้ผู้ค้ารายใหญ่ ยี่ปั๊ว สมาคม องค์กรต่างๆในราคาใบละ 80 บาท หลังจากนั้นร้านค้ายี่ปั๊ว ก็นำไปขายต่อให้กับผู้ค้ารายย่อยที่เดินขายสลาก 200,000 ราย ซึ่งก็ไม่สามารถขายในราคา 80 บาท เพราะค้าขายต้องทำกำไรอีก ก็ต้องบวกราคาเพิ่มไป ที่ผ่านมาจึงเห็นราคาในตลาดมีตั้งแต่ 100 -120 บาทต่อใบ ดังนั้นหากยังมีการขายช่วง ขายต่อ ก็คงแก้ปัญหาหวยแพงไม่ได้ ดังนั้นก็ต้องไปพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาตั้งแต่จุดเริ่มต้นคือการกระจายล็อตเตอรี่ไปยังร้านค้ารายใหญ่ ยี่ปั๊ว เป็นต้น

สำหรับปัญหาของสลากเกินราคาในปัจจุบันนั้น อยู่ที่ระบบการจัดการ เนื่องจากไม่มีระบบควบคุมกำกับดูแล เมื่อขายสลากฯให้ผู้ค้าและองค์กรต่างๆ ดังนั้นผู้ค้าหรือองค์กร ที่ได้รับสลากไปแล้ว จะขายที่ไหน หรือทำอะไรก็ได้ ก็ควบคุมไม่ได้ จึงมีการนำไปขายต่อไปเรื่อยๆ แล้วราคาจะไปควบคุมอยู่ได้อย่างไร ดังนั้นควรต้องมีกฎกติกา มีระบบควบคุม ซึ่งจะมีการเสนอแก้ไขกฏหมาย พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อกำหนดบทลงโทษผู้ค้าที่กระทำผิด ขายช่วง ขายเกินราคา ให้มีความเข้มข้นมากขึ้น จากปัจจุบันกฎหมายระบุว่ามีโทษปรับเพียง 10,000 บาท ทำให้ผู้กระทำผิดขายเกินราคา ย่อมเสียค่าปรับ ดังนั้นต้องเสนอบทลงโทษที่เข้มข้นขึ้น เพื่ิอมิให้กระทำผิดขายเกินราคาได้อีก
ส่วนกรณีเว็บไซต์ที่เปิดจำหน่ายสลากอยู่ในปัจจุบัน ก็จะเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่ชุดเฉพาะกิจจะเข้าไปตรวจสอบ โดยจะร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อดำเนินการอย่างเข้มข้น พร้อมจะนำกฎหมายอื่นๆ มาประกอบการพิจารณาเป็นเครื่องมือในการทำงาน เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น