

- ผู้คนทั่วโลกยกระดับความกังวลต่อผลกระทบ
- สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงเท่ากับวิกฤตเศรษฐกิจ
- ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของตัวเองให้สอดคล้องกับวิถีความยั่งยืน
นายยาซึโนริ โอกาว่า ประธาน บริษัท ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “พันธกิจของเอปสันคือการพัฒนาชีวิตและโลกใบนี้ให้ดียิ่งขึ้น บริษัทฯ ทุ่มเททรัพยากรที่สำคัญในด้านต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายนี้ให้สำเร็จ ใน ขณะที่โลกจะรวมตัวกันในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 27 (COP 27) ที่จะมีขึ้นในพฤศจิกายนนี้ ที่ประเทศอียิปต์ บริษัทฯ ได้จัดทำการสำรวจ Climate Reality Barometer นี้ขึ้น เพื่อช่วยยกระดับความตื่นตัวและสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อปัญหาที่เกิดขึ้นจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป”
“เอปสันหวังว่าข้อมูลที่ได้จากการสำรวจครั้งนี้จะช่วยให้หลายรัฐบาล วงการอุตสาหกรรม และบุคคลทั่วไป ได้ยกระดับความพยายามในการป้องกันภัยพิบัติที่เกิดจากสภาพอากาศ แม้ว่าหนทางแห่งความสำเร็จยังอีกยาวไกล แต่เอปสันเชื่อว่าเราจะสามารถสร้างอนาคตที่ดีขึ้นได้ หากเราทำงานร่วมกันและลงมือทำตั้งแต่ตอนนี้”
ผลสำรวจของ Climate Reality Barometer ในปีนี้ชี้ให้เห็นชัดว่าทั่วโลกตื่นตัวมากขึ้นกับปัญหาสภาพภูมิอากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกวิกฤตเศรษฐกิจเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนออกจากความพยายามจัดการกับปัญหาด้านสภาพอากาศไปไม่น้อยเช่นกัน และยังมีประเด็นที่น่าจับตามองคือ ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่มองในแง่ดีว่าปัญหาดังกล่าวสามารถถูกแก้ไขได้ในช่วงชีวิตของคนรุ่นปัจจุบัน แม้ว่าจะมีภัยพิบัติมากมายเกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา
จากผลสำรวจระบุว่าการ ผู้คนยังคงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจและการเงินแบบเร่งด่วนเป็นอันดับแรกที่ 22% ถัดมาคือราคาสินค้าที่แพงขึ้นที่ 21% ส่วนปัญหาสภาพภูมิอากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่อันดับที่ 3 ที่ 20% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และค่าพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น วิกฤตสภาพอากาศก็ยังคงเป็นเรื่องที่คนทั่วโลกให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่าง 48% ยังมองในแง่ดีว่าปัญหาจากสภาพอากาศสามารถป้องกันได้ในช่วงชีวิตของคนปัจจุบัน เพิ่มขึ้นจาก 46% ในการสำรวจเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทำขึ้นในช่วงก่อน COP 26

จำนวนประชากรที่เชื่อว่าปัญหาที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปสามารถแก้ไขได้ในช่วงชีวิตของตัวเองมีอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงภาวะการขาดการรับรู้ความจริงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในผู้คนจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะยังมีความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับผลกระทบทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นกับโลกในอนาคตจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน โดยตัวแปรสำคัญที่แบ่ง กลุ่มคนที่มีการรับรู้ต่อปัญหาดังกล่าวแตกต่างกัน ได้แก่ ระดับเศรษฐกิจและช่วงอายุ
สมาชิกในกลุ่มประเทศ G7 มีมุมมองต่อการแก้ไขปัญหาจากสภาพภูมิอากาศไปในทางบวก ในระดับที่ต่ำกว่าค่า เฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 48% ดังนี้ แคนาดา 36.6%; ฝรั่งเศส 22.5%; เยอรมนี 23.8%; อิตาลี 25.2%; ญี่ปุ่น 10.4%; สหราชอาณาจักร 28.4% และสหรัฐอเมริกา 39.4% ในขณะที่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วจะมองในแง่ดีต่อปัญหาดังกล่าวมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ จีน 76.2%; อินเดีย 78.3%; อินโดนีเซีย 62.6%; เคนยา 76%; เม็กซิโก 66% และฟิลิปปินส์ 71.9%
ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นว่าอายุมีผลต่อมุมมองต่อปัญหานี้ โดยกลุ่มคนที่มีความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด และมองว่าเป็นปัญหาระดับโลกที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่สุด เป็นกลุ่มช่วงอายุมากที่สุด หรือ 55 ปีขึ้นไป ที่ 22% และน้อยที่สุด 16 – 24 ปี ที่ 19.3% ตามลำดับ
นอกจากนี้ การสำรวจ Climate Reality Barometer ยังได้ศึกษาถึงช่องทางหรือปัจจัยที่ทำให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยมากกว่า 8 ใน 10 ของกลุ่มตัวอย่าง หรือ 80.2% สัมผัสถึงปัญหาดังกล่าวได้โดยตรงจากการใช้ชีวิตประจำวัน 75.7% รับทราบข้อมูลจากกิจกรรมหรือแคมเปญของรัฐบาล 75% จากข่าวทางสื่อออนไลน์และออฟไลน์ 74.2% จากโซเชียลมีเดีย 64.8% จากแคมเปญของบริษัทเอกชนหรือตามชุมชนต่างๆ และ 64% จากรายงานของการประชุม COP
ด้านพฤติกรรมส่วนบุคคลที่ตอบสนองต่อปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง การสำรวจในปีนี้พบว่าผู้คนได้ปรับไลฟ์สไตล์ของตนเองให้สอดคล้องกับวิถีความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้นกว่าปี 2564 ได้แก่ เดินหรือปั่นจักรยานมากขึ้น จาก 83.7% เป็น 87.2% และ 31.8% ที่ได้ทำติดต่อกันมาตลอดทั้งปี การเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น จาก 78.2% เป็น 82.4% และ 18.6% ทำมานานกว่า 1 ปี ลดการเดินทางเพื่อธุรกิจและการพักผ่อนต่างประเทศมากขึ้น จาก 65.1% เป็น 68.2% และ 23% ทำมานานกว่า 1 ปี เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จาก 68% เป็น 72.7% และ 10.6% ทำเช่นนี้มานานกว่า 1 ปี รับประทานอาหารจากพืชเพิ่มขึ้น จาก 67.6% เป็น 68.9% และ 16.5% ทำติดต่อกันมานานกว่า 1 ปี
“เอปสันเชื่อว่าพวกเราทุกคนมีส่วนรับผิดชอบต่อคนรุ่นหลัง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล องค์กรธุรกิจ หรือชุมชนต่างๆ ต้องร่วมกันทำให้โลกนี้ดีขึ้นหลังจากความเสียหายมาหลายทศวรรษ เอปสันในฐานะผู้นำเทคโนโลยีด้านการพิมพ์และโปรเจคเตอร์ได้มุ่งพัฒนาโซลูชั่น ที่สามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ของเรา การทำงานร่วมกันและค้นหาโซลูชั่นใหม่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและเกิดเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงให้โลกดีขึ้นได้”