เผยเหตุคนอเมริกันส่วนน้อยไม่ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19

.เชื่อวัคซีนเสี่ยงอันตรายมากกว่าติดเชื้อโควิด

.และไม่บอกให้รัฐบาลฉีดให้ลูกจ้างในบริษัทด้วย

.ขณะที่ส่วนใหญ่เชื่อติดเชื้ออันตรายกว่าวัคซีน

ผลสำรวจจากมูลนิธิตระกูลไกเซอร์ (KFF) พบผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน ที่ไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ไม่เชื่อในประสิทธิภาพของวัคซีน และมีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าเชื้อโควิด-19 

สำหรับการสำรวจครั้งนี้ ได้สอบถามความเห็นจาก ผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 1,500 คน ระหว่างวันที่ 15-27 ก.ค.64โดยราว 14% ของผู้ร่วมสำรวจ ยืนยันหนักแน่นว่า จะ “ไม่ฉีดวัคซีน” ซึ่งเท่ากับที่สำรวจพบเมื่อเดือนธ.ค.63 

โดยผลสำรวจครั้งนี้ ระบุว่า ผู้ใหญ่ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน 53% เชื่อว่า วัคซีนก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าติดเชื้อโควิด-19 แต่กลุ่มผู้ใหญ่ที่ฉีดแล้ว 88% เชื่อว่าโควิด-19 มีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าวัคซีน 

ขณะเดียวกัน ผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน 57% และผู้ที่ “ยืนยัน” จะไม่ฉีดวัคซีน 75% มองว่า ข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงของโรคระบาด “เกินจริง” แต่ผู้ฉีดวัคซีน 53% มองว่า การนำเสนอข่าวดังกล่าว “ถูกต้องแล้ว” และอีก 24% มองว่า การนำเสนอข่าวความรุนแรงของโรค “น้อยกว่าความเป็นจริง” 

อย่างไรก็ตาม มุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของคนที่ฉีด และไม่ฉีดวัคซีนสะท้อนความขัดแย้งของกระแสถกเถียงเกี่ยวกับนโยบายบังคับฉีดวัคซีนในประเทศในเวลานี้  เช่น ผู้ฉีดวัคซีน 68% มีแนวโน้มจะบอกรัฐบาลกลางให้แนะนำนายจ้างฉีดวัคซีนให้ลูกจ้างของตน แต่ผู้ที่ยังไม่ฉีด มีเพียง 16% ที่จะบอกให้รัฐบาลฉีดให้กับลูกจ้าง ขณะที่ 51% ของผู้ตอบโดยรวม มองว่า รัฐบาลกลางควรฉีดวัคซีนให้ประชาชน และอีก 45% มองว่าไม่ควรทำ 

นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ที่ฉีดวัคซีนแล้ว มีแนวโน้มจะสวมหน้ากากอนามัยในร้านขายของชำ และสถานที่ในร่มอื่นๆ รวมถึงที่ทำงาน หรือในสถานที่คนพลุกพล่านต่อไป มากกว่าผู้ใหญ่ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน 

“ความแตกต่างเหล่านี้ ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันที่ยังไม่ฉีดวัคซีน และส่วนใหญ่กล่าวว่า พวกเขาไม่เคยสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่กลางแจ้ง ที่คนพลุกพล่าน ที่ทำงาน หรือในร้านขายของชำเลย สวนทางกับผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต ที่ส่วนใหญ่จะสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในสถานที่ดังกล่าว” มูลนิธิฯ กล่าว