เปิดเทอมผู้ปกครองใช้จ่าย 5.7 หมื่นล้านบาท

  • สูงสุดรอบ 14 ปีเฉลี่ยจ่ายคนละเฉียด 2 หมื่นล้าน
  • ผู้ปกครองบางส่วนเงินไม่พอใช้ต้องกู้ จำนำทรัพย์สิน
  • ร้องรัฐปฏิรูปการศึกษาเหตุเด็กเครียดตั้งแต่อนุบาล

นางอุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเปิดเผยถึงผลสำรวจประเมินผลกระทบของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอม ที่สำรวจจากประชาชน 1,230 ตัวอย่างทั่วประเทศ วันที่ 1-5 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า การสำรวจปี 66 ประเมินว่าจะมีมูลค่าใช้จ่ายช่วงเปิดเทอมอยู่ที่ 57,885 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.30% เทียบปี 62 ที่มีค่าใช้จ่าย 54,972 ล้านบาท (ปี 63-65 ไม่ได้สำรวจ เพราะมีโควิด และเรียนออนไลน์) สูงสุดรอบ 14 ปีตั้งแต่เริ่มสำรวจปี 53 คิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนที่ 19,507 บาท เพิ่มขึ้น 6.6% จากปี 62 ที่เฉลี่ย 18,299 บาท สาเหตุที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น มาจากค่าบำรุงโรงเรียนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าหนังสือ ค่าอุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบนักเรียน รองเท้า/ถุงเท้า ค่าเรียนพิเศษ ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ปกครอง 63.5% บอกว่า มีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายช่วงเปิดเทอม แต่ในจำนวนนี้ถึง 50.3% นำเงินออมมาใช้จ่าย อีก 46.8% นำเงินเดือนมาใช้จ่าย มีเพียง 3% ที่นำโบนัส/รายได้พอเศษ/อื่นๆ มาใช้ และอีก 36.5% บอกมีเงินไม่เพียงพอ จึงต้องจำนำทรัพย์สิน กู้ในและนอกระบบ ยืมญาติพี่น้อง เบิกเงินสดจากบัตรเครดิต/บัตรกดเงินสด ให้พักการเรียน/ออกมาหางานทำ ขณะเดียวกัน ยังพบอีกว่า ผู้ปกครองมากถึง 66.1% มีหนี้สิน โดยมีมูลหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือน 340,750 บาท มีเพียง 33.9% ไม่มีหนี้สิน และเห็นว่า โครงการให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มีความสำคัญมาก ช่วยลดภาระของผู้ปกครองได้มาก

สำหรับความเห็นต่อการศึกษาไทยนั้น ส่วนใหญ่เห็นว่า หลักสูตรไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก จำนวนครูไม่เพียงพอต่อความต้องการ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยเร่งรัดด้านการเรียนเกินไป นอกจากนี้ ผู้ปกครองทุกระดับการศึกษา ทั้งอนุบาล ประถม มัธยม หรือมากกว่า 85% มองว่า การเรียนพิเศษเป็นสิ่งจำเป็นมาก และยอมจ่ายค่าเรียนพิเศษ ขณะที่ผู้ปกครองบางส่วนมองว่า หลักสูตรการเรียนปัจจุบันส่งผลให้บุตรหลานเกิดความเครียด

ขณะที่สิ่งที่ต้องการให้ปรับปรุงด้านการศึกษา คือ ด้านจริยธรรม การดำรงชีวิตและเอาตัวรอด วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิชาชีพ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ เพิ่มจำนวนครู พัฒนาโรงเรียนรัฐบาลให้มีคุณภาพใกล้เคียงเอกชน เพิ่มเวลาให้ครูสอนเด้กมากขึ้น ลดภาระด้านอื่นของครู ส่วนนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองขณะนี้ ส่วนใหญ่เห็นด้วย ทั้งโครงการอาหารฟรี กำจัดระบบแป๊ะเจี๊ยะ มีโรงเรียน 2 ภาษาในท้องถิ่น เรียนฟรีจนจบปริญญาตรี สร้างเด็กไทย 3 ภาษา (ไทย ต่างประเทศ โคดดิ้ง) ยกเลิกหนี้กยศ.

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษา ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การที่ผู้ปกครองมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเกือบคนละ 20,000 บาท ดีสุดในรอบ 14 ปี แสดงว่าผู้ปกครองพร้อมใช้จ่าย และชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้น แต่ยังฟื้นเป็นรูปตัวเค (K) ที่ฟื้นตัวเฉพาะบางกลุ่ม ยังไม่กระจาย เพราะยังมีผู้ปกครองที่มีรายได้ปานกลาง ยังระมัดระวังใช้จ่าย และบางกลุ่มมีเงินไม่เพียงพอใช้จ่าย ต้องนำเงินออมมาใช้ หรือกู้หนี้ยืมสิน จำนำทรัพย์สิน แต่กลุ่มที่กู้เงินเพิ่ม ไม่น่าห่วงว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนในระยะยาว เพราะมองว่า เป็นการกู้ระยะสั้นสำหรับการเปิดเทอม อีกทั้งคนส่วนใหญ่ ยังมีเงินเพียงพอใช้จ่ายช่วงเปิดเทอม

“สำหรับนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองขณะนี้ ที่เน้นการฟื้นเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้อง เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศนั้น จึงจำเป็นที่รัฐบาลใหม่ต้องปฏิรูปการศึกษาให้มาตรฐานเพิ่มขึ้น และเท่าเทียมกันทุกสถาบันการศึกษา สอนหลักสูตรที่สอดคล้องกับวิชาชีพ โลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป เพิ่มทักษะของผู้เรียนในทุกด้าน ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากร และประเทศไทยได้”