

- หลังออกประกาศนำเข้า-ส่งออกสินค้าเข้ารหัสต้องขออนุญาต
- รวมหมดทั้งโทรศัพท์ เครื่องแฟกซ์ ชิปการ์ด ชิปความปลอดภัย
- หวังคุมเข้มสินค้าใช้ได้ทั้ง 2 ทางผู้ฝ่าฝืนลงโทษหนัก
นายธัชชญาน์พล อภิมนต์เตชบุตร รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงปักกิ่ง แจ้งว่า กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานการเข้ารหัสของรัฐ และสำนักงานศุลกากรกลางของจีน ได้ออกประกาศรายการผลิตภัณฑ์เข้ารหัสเชิงพาณิชย์ที่ต้องมีใบอนุญาตนำเข้าและควบคุมการส่งออก เพื่อปกป้องเทคโนโลยีรหัสผ่านเชิงพาณิชย์ในการจัดการนำเข้าและส่งออก รวมถึงปกป้องความมั่นคงของชาติและผลประโยชน์ทางสังคมและสาธารณะ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.64 โดยได้กำหนดประเภทของผลิตภัณฑ์เข้ารหัส ที่ต้องมีใบอนุญาตนำเข้าและส่งออก โดยสินค้าที่ต้องมีใบอนุญาตนำเข้า เช่น โทรศัพท์ที่เข้ารหัส เครื่องแฟกซ์ที่เข้ารหัส และสินค้าที่ต้องมีใบอนุญาตส่งออก เช่น ชิปความปลอดภัย เครื่องเข้ารหัส (Chiper Machine) บัตรเข้ารหัส (Chiper Card) เป็นต้น
สาเหตุที่ต้องกำหนดให้ผลิตภัณฑ์เข้ารหัสเชิงพาณิชย์ ต้องมีใบอนุญาตนำเข้าและส่งออก เพราะสินค้าดังกล่าวเข้าข่ายเป็นสินค้าที่ใช้ได้สองทาง ที่สามารถไปใช้ผลิตเป็นสิค้าทั่วไป หรือเป็นส่วนประกอบทำอาวุธ หรือสินค้าที่เป็นอันตรายก็ได้ จึงต้องออกประกาศให้ขออนุญาตนำเข้า ส่งออก แต่สำหรับสินค้าที่ซื้อขายทั่วไปอย่างแพร่หลาย จะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมดังกล่าว เนื่องจากประชาชนสามารถซื้อผ่านช่องทางค้าปลีกทั่วไปสำหรับการใช้งานส่วนตัว ซึ่งมีความเสี่ยงเล็กน้อยต่อความมั่นคงของประเทศ
“ขอให้ผู้ประกอบการของไทย ที่ต้องการส่งออก นำเข้า สินค้าดังกล่าว ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของจีนอย่างเคร่งครัดและสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://globaltimes.cn/content/1208804.shtml
และ https://jdsupra.com/legalnews/ china-publishes-import-license-list-and-52375 เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้อย่างไม่เป็นอุปสรรคทางการค้า”
อย่างไรก็ตาม ในประกาศดังกล่าว ยังได้กำหนดบทลงโทษ ดังนี้กรณีที่ส่งออกหรือนำเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจมีการเรียกเก็บค่าปรับสูงถึง 5 ล้านหยวน (758,000 เหรียญสหรัฐฯ) หรือ 10 เท่าของมูลค่าการซื้อขาย พร้อมระงับการดำเนินธุรกิจและการเพิกถอนคุณสมบัติของธุรกิจส่งออก, กรณีที่ได้รับใบอนุญาตส่งออกหรือนำเข้าโดยมิชอบ จะถูกเพิกถอนใบอนุญาต ยึดรายได้ที่ผิดกฎหมาย หากมูลค่าการซื้อขายที่ผิดกฎหมายน้อยกว่า 200,000 หยวน (30,300 เหรียญสหรัฐฯ) จะปรับตั้งแต่ 200,000 ถึง 2 ล้านหยวน (303,030 เหรียญสหรัฐฯ) หากมากกว่า 200,000 หยวน จะกำหนดค่าปรับที่สูงขึ้น 5 – 10 เท่าของมูลค่าการซื้อขายที่ผิดกฎหมาย