

- ส่อเก็บภาษีเซฟการ์ดฟอยล์อะลูมิเนียมนำเข้าจากต่างประเทศ
- หวั่นต้นทุนผลิตหลายสินค้าพุ่งและอาจขึ้นราคาจนผู้บริโภคเดือดร้อน
- จ่อยื่นหนังสือถึง “จุรินทร์” พิจารณาให้รอบคอบก่อนประกาศใช้
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า ภายหลังจากที่คณะกรรมการพิจารณามาตรการปกป้อง ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เป็นประธาน ได้เห็นชอบให้กรมการค้าต่างประเทศ เปิดไต่สวนเพื่อใช้มาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) ในสินค้าฟอยล์อะลูมิเนียม ที่นำเข้าจากต่างประเทศเมื่อเร็วๆ นี้ ตามการร้องเรียนของผู้ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันของไทยนั้น ล่าสุด กลุ่มผู้ประกอบการที่ใช้ฟอยล์อะลูมิเนียมเป็นวัตถุดิบ เตรียมทำหนังสือถึงนายจุรินทร์ เพื่อขอให้พิจารณากรณีดังกล่าว
ทั้งนี้เพราะเกรงว่า การใช้มาตรการนี้ด้วยการเรียกเก็บภาษีเซฟกร์ด จะทำให้อุตสาหกรรมของไทยที่ใช้สินค้านี้ มีต้นทุนสูงขึ้น ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง และหากรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ไหว อาจต้องผลักภาระให้ผู้บริโภคและปรับขึ้นราคาขายสินค้า เช่นเดียวกับกรณีที่กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างเปิดไต่สวนการทุ่มตลาด (เอดี) ฟิล์มบีโอพีพี ที่นำเข้าจากจีน อินโดนีเซีย และมาเลเซียในขณะนี้

โดยอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบจากการใช้เซฟการ์ด เช่น บรรจุภัณฑ์ ฝาปิดขวด อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำความเย็น อะไหล่รถยนต์ เป็นต้น ส่วนอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องที่จะได้รับผลกระทบ เช่นอาหารและเครื่องดื่ม ยาและเวชภัณฑ์ ของใช้ส่วนบุคคล ของใช้ในครัวเรือน ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์ เป็นต้น
สำหรับการคัดค้านการใช้เซฟการ์ดนั้น ผู้ประกอบการที่ใช้ฟอยล์อะลูมิเนียม เห็นว่า ผู้ผลิตของไทยที่ยื่นขอให้ใช้มาตรการเซฟการ์ด ไม่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น เพราะมีกำลังการผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ในประเทศ โดยผลิตได้ไม่เกินปีละ 40,000 ตัน แต่ต้องการใช้สูงถึง 110,000 ตัน ทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ ต้องนำเข้าไม่ต่ำกว่าปีละ 70,000 ตัน นอกจากนี้ ผู้ผลิตในประเทศยังมีข้อจำกัดเรื่องความสามารถในการผลิตที่ตรงกับความต้งการของลูกค้า หรือไม่สามารถผลิตได้ตามสเปกต์ที่ลูกค้าต้องการ และมีปัญหาเรื่องวัตถุดิบ คือ อะลูมิเนียมอินกอต ที่ต้องนำเข้า หากนำเข้าวัตถุดิบล่าช้า ผู้ใช้ฟอยล์อะลูมิเนียม อาจเกิดภาวะขาดแคลนได้
ดังนั้น หากกระทรวงพาณิชย์จะขึ้นภาษีเซฟการ์ด หรือใช้มาตรการปกป้องใดๆ กับฟอยล์อะลูมิเนียมที่นำเข้า เพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศ จะทำให้ต้นทุนของผู้ใช้ฟอยล์อะลูมิเนียมในอุตสาหกรรมต่างๆ สูงขึ้นจนอาจต้องขึ้นราคาสินค้าปลายทาง ทำให้ผู้บริโภคเดือดร้อน ขณะเดียวกัน เมื่อขึ้นราคาแล้ว อาจทำให้ส่งออกได้ยาก เพราะความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลง แข่งขันกับคู่แข่งไม่ได้ จึงขอคัดค้านการใช้มาตรการ