“อาคม” แจงกู้เงิน ต้องระมัดระวัง ไม่กู้เกินตัว

  • ย้ำไม่กู้เพิ่ม ยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม
  • ต้องคำนึงวินัยการเงินการคลัง
  • อาจกระทบความน่าเชื่อของรัฐบาลในอนาคต

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ  รมว.คลัง เปิดเผยว่า จากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับประมาณเศรษฐกิจใหม่ ลดลงเพียง 3.2% จากเดิมคาดการณ์ว่า 3.4% เป็นการปรับลดเป็นไปตามสมมุติฐาน  ซึ่งการปรับลด  ไม่ใช่เงื่อนไขที่รัฐบาลจะต้องกู้เงิน หรือเป็นสัญญาณที่ภาครัฐจะออกมาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

ส่วนการประเมินว่าไตรมาส 2 สถาณการณ์เงินเฟ้อจะมีแนวโน้มสูงขึ้น 5%  ซึ่งอาจจะหลุดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ 1-3% นั้น มองว่า กรอบ 1-3% เป็นเป้าหมายของกรอบเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี  ฉะนั้น ต้องกลับมาดูว่า การทบทวนเป้าหมายในระยะสั้น ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องราคาน้ำมันและราคาอาหารแพงนั้น จะมีผลกระทบต่อดัชนีราคาสินค้าเพียงใด ที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อทั้งปีเฉลี่ยแล้วเกิน 3% แต่หากสถานการณ์ราคาน้ำมันดีขึ้น อาจทำให้เงินเฟ้อในระยะสั้นหลุดกรอบไปบ้าง แต่หากอัตราเฉลี่ยทั้งปียังคงอยู่ในกรอบ 1-3% ขณะนี้กระทรวงการคลังก็จะยังไม่มีมาตรการอะไรออกมาดูแลเพิ่มเติม

 “การขยบกรอบอัตราเงินเฟ้อต้องหารือกับ ธปท. เพราะเป็นเรื่องของการเงินการคลัง ซึ่งต้องมาคุยกันว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงจะยาวนานแค่ไหน ที่จะทำให้เงินเฟ้อของไทยเกินกรอบทั้งปี ที่ตั้งไว้ 3% แต่ถ้าเป็นระยะสั้น  อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง และทั้งปี เฉลี่ยไม่ถึง 3% ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีการปรับกรอบอัตราเงินเฟ้อใหม่”

นายอาคม  กล่าวต่อว่า ขณะที่ ธปท. ประมาณการว่า เงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้นตั้งแต่ช่วง ไตรมาสสอง ถึง สาม ก็ต้องมีการหารือร่วมกันอีกครั้ง รวมทั้งประเมินสถานการณ์ ว่าหากในไตรมาสสองถึงสามยัง อัตราเงินเฟ้อยังคงสูงอยู่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน จะยืดเยื้อแค่ไหน รวมทั้งการจัดการเรื่องของต้นทุนราคาสินค้า โดยเฉพาะเรื่องเรื่องราคาอาหารสัตว์ และราคาน้ำมัน หากส่วนนี้สามารถจัดการได้เร็ว ก็จะช่วยให้ ราคาสินค้า ไม่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 2 และ 3 อย่างไรก็ตามหากราคาน้ำมัน พุ่งขึ้นไปสูงถึง 150 เหรียญต่อบาร์เรล ทุกประเทศก็จะได้รับผลกระทบจากปัญหาเดียวกัน หากเป็นเช่นนั้น อาจจะต้อง ขอความกรุณาจากประชาชนแบ่งเบาภาระ ไปครึ่งหนึ่ง และรัฐบาลก็ยังคงจะช่วยดูแลอยู่  

นายอาคม กล่าวว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้ จะมีการเร่งรัดการลงทุนด้วย ขณะที่ภาคเอกชน ก็ไม่ได้ได้มีปัญหาในการชะลอการลงทุน ส่วนภาคการส่งออกนั้น ปี2564 โต 17-18% และสองเดือนแรกของปีนี้ การส่งออออกก็ขยาตัวได้ 12% ซึ่งตั้งเป้าหมายว่าในปีนี้ จะต้องผลักดันการส่งออกให้ได้ 4-5% อย่างไรก็ดี หากมีการรักษาโมเม้นตั้ม ในเรื่องการส่งออก ก็หวังการส่งออกจะขยายตัวได้ถึง 10% ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเศรษฐกิจ ว่าจะมีการขยายตัวได้ 3.5-4.5% 

ส่วนกรณีข้อเสนอจาก 3 อดีตรมว.คลัง ให้กู้เงินเพื่อดูแลเศรษฐกิจเพิ่มเติมนั้น นายอาคม กล่าวว่า ได้มีการหารือร่วมกับ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรมว.คลังในประเด็นดังกล่าว แล้ว โดยกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงถึงความระมัดระะวังในการกู้เงินของรัฐบาล เนื่องจากต้องคำนึงถึง วินัยการเงินการคลัง เพราะสิ่งสำคัญคือการกู้เงินเกินตัว

“หากมีการกู้เงินเกินตัว ก็จะเป็นประเด็นเช่นกัน  เนื่องจากจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของต่างชาติ โดยเฉพาะการจัดอันดับความน่าชื่อถือ ของสถาบันต่างๆ ไทยอาจจะถูกปรับลดได้  ซึ่งอาจจะส่งผลถึงต่อต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาลในอนาคตด้วย”