

- ทำให้นักท่องเที่ยว ต้องจองที่พัก-แพ็กเกจใหม่ อีกทั้งโรงแรมเดิมก็ปฏิเสธคืนค่าห้องพัก
- พบบางโรงแรมมีเจตนาทำให้ประเทศชาติเสียชื่อเสียง
- ชี้มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นต่อการกำกับมาตรการของไทย
วันนี้ (22 พ.ย.64) พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยช่วงหนึ่งว่า ในที่ประชุมศปก.ศบค. ซึ่งมีจังหวัดนำร่องท่องเที่ยวเข้าร่วมประชุม มีการรายงานข้อขัดข้องในการดำเนินการเปิดประเทศที่ผ่านมา โดยอันดับแรกพบว่านักท่องเที่ยวบางรายไม่ปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขของประเทศไทย ส่วนใหญ่คือการปฏิเสธสวมหน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย รวมกลุ่มสังสรรค์รับประทานอาหารร่วมกัน นำไปสู่การติดเชื้อ ต้องขอบคุณสถานประกอบการและโรงแรมที่ได้รายงานเข้ามายัง ศบค. และเจ้าหน้าที่ช่วยเป็นตัวแทนประเทศไทย ช่วยสังเกตความผิดปกติ การไม่ปฏิบัติตามมาตรการ มีการตักเตือนในเบื้องต้น ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยว จึงขอย้ำว่าภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อของประเทศไทย การไม่สวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ การรวมกลุ่มทำกิจกรรมร่วมกันถือเป็นความผิดมีโทษปรับสูงสุด 20,000 บาท
“นอกจากนี้ยังพบว่า ยังมีโรงแรมที่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว เข้าเกณฑ์หลอกลวง แต่มีส่วนน้อย โดยมีการรายงานในที่ประชุมว่า มีนักท่องเที่ยวบางส่วนที่จองโรงแรมผ่านทางเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่น และเป็นการจองเฉพาะห้องพัก ไม่รวมแพ็คเกจที่มีรถรับส่งสนามบิน ไม่มีการซื้อชุดตรวจ ATK หรือ RT-PCR อีก 1 ชุด เมื่อนักท่องเที่ยวไม่ทราบว่า พอลงจากเครื่องบินมาถึงสนามบินต้องมีรถรับส่ง ต้องมีการตรวจโควิด-19 ทำให้เมื่อเดินทางมาถึงจะไม่สามารถเข้าประเทศได้ ต้องจองที่พักและแพ็กเกจใหม่ อีกทั้งโรงแรมเดิมก็ปฏิเสธคืนค่าห้องพัก จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ดำเนินการอย่างถูกต้อง” พญ.อภิสมัย กล่าว
พญ.อภิสมัย กล่าวต่อว่า ขณะนี้ผ่านมาแล้ว 22 วัน สำหรับการเปิดประเทศของไทย ถ้าโรงแรมไหนบอกว่าไม่รู้รายละเอียดข้อปฏิบัติ ยังทำถูกต้องไม่ได้ ดูแล้วจะเป็นลักษณะมีเจตนาขายเฉพาะห้องพักโดยไม่รวมรถรับส่งสนามบิน การตรวจ RT-PCR โดยมีรายงานว่าบางโรงแรมมีเจตนาทำให้ประเทศชาติเสียชื่อเสียง มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นต่อการกำกับมาตรการของประเทศไทย และมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ศบค. ได้รับรายงานปัญหามาโดยตลอด ดังนั้น ขอความร่วมมือหน่วยงานภาคเอกชน โรงแรม ที่เราจะต้องทำไปในทิศทางเดียวกันให้ถูกมาตรฐานด้วย
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ปัจจัยความสำเร็จ-การผ่อนคลายที่จะเกิดขึ้นได้ ต้องเป็นไปตามแผนหน่วยงานภาครัฐที่ต้องติดตามกำกับมาตรการอย่างใกล้ชิด ไม่ย่อหย่อนมาตรการ และขอความร่วมมือเอกชน สถานประกอบการ ให้ร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการโควิดฟรีเซ็ตติ้งอย่างเข้มงวด เมื่อเข้าสู่มาตรฐาน SHA หรือ SHA+ ก็จะรองรับการเปิดประเทศผ่อนคลายได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การผ่านมาตรฐาน ไม่เฉพาะโรงแรมหรือร้านอาหาร แต่รวมถึงสถาบันกวดวิชา โรงเรียนสอนดนตรีขนส่งสาธารณะ รถตู้ รถประจำทางไม่ประจำทาง บริษัทนำเที่ยว ก็สามารถรับมาตรฐาน SHA หรือ SHA+ ได้ โดยดูจากเว็บไซต์กรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข
“เราต้องสร้างสังคมที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เป็นสังคมวิถีใหม่ ผู้ประกอบการที่ทำตามมาตรฐานได้ดีต้องได้รับความชื่นชม ให้กำลังใจ ใครยังทำไม่ได้ครบถ้วนต้องช่วยสนับสนุนกัน เพื่อให้การเปิดประเทศเป็นไปอย่างปลอดภัยประชาชนสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พญ.อภิสมัย กล่าว