ส่องเทรนด์รับสร้างบ้าน 65 รอลุ้นดูผลจะเป็นปี “เสือร้ายหรือแมวเหมียว”

  • “พีดีเฮ้าส์” สรุปความต้องการสร้างบ้านปี 64 กำลังซื้อผู้บริโภคแผ่วตามภาวะเศรษฐกิจ
  • ชี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในช่วงโค้งสุดท้ายปี 64 ปรับตัวดีขึ้น หลังรัฐผ่อนมาตรการ
  • ขยับรุกขยายตลาดต่างจังหวัด ปักธงสาขาเพิ่มภาคกลาง-อีสาน
  • เผยปี 65 ตลาดรับสร้างบ้านมีปัจจัยเสี่ยง-โอกาสขยาย 50:50 
  • แนะผู้ประกอบการเฝ้าระวังต้นทุนวัสดุผันผวน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ภายใต้แบรนด์ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ โดยฝ่ายพัฒนาธุรกิจรับสร้างบ้าน ได้รายงานภาพรวมปริมาณบ้านสร้างเองและความต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ตลอดปี2564 ที่ผ่านมายัง ซบเซาต่อเนื่อง โดยปัจจัยหลักเกิดจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจประเทศที่ฟื้นตัวในอัตราต่ำมาก โดยเฉพาะในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี (ม.ค.-ก.ย.) ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่กล้าตัดสินใจลงทุนเกี่ยวกับบ้านและรถยนต์ 

กระทั่งเริ่มเข้าสู่ในช่วงไตรมาส 4 เมื่อภาครัฐและหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ เริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาด และประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น พบว่าผู้บริโภคที่ชะลอแผนสร้างบ้านเอาไว้ เริ่มหันกลับมาเร่งศึกษาข้อมูลและกล้าตัดสินใจสร้างบ้านใหม่อีกครั้ง สะท้อนได้จากจำนวนยอดขายหรือจองสร้างบ้านของพีดีเฮ้าส์ และกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2564 (พ.ย.-ธ.ค.) 

นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญและเป็นตัวเร่งการตัดสินใจสร้างบ้านของผู้บริโภคในช่วงท้ายปีก็คือ การปรับตัวของราคาวัสดุก่อสร้างและราคาบ้านในปี 2565 จากการส่งสัญญาณของผู้ประกอบการทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจ 

ทั้งนี้ประเมินว่า หากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และการควบคุมของภาครัฐไม่เกิดปัญหาซ้ำอีกในช่วงต้นปี2565 เชื่อมั่นว่ากำลังซื้อและความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคมีโอกาสจะกลับมาขยายตัวอีกครั้ง โดยคาดว่าความต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ของผู้บริโภคและประชาชนที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ตลาดรับสร้างบ้านปี 2565 สามารถขยายตัว 5-7% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา 

ด้านนายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า ในปี 2565 นี้ บรรดาผู้ประกอบการรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด ต่างมีความวิตกกังวลว่าการตัดสินใจและการแก้ปัญหาของรัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบ ต่อสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่หรือโอมิครอน ที่เริ่มแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในช่วงท้ายปีเก่าและเริ่มต้นศักราชใหม่ปี 2565 เพราะหากรัฐบาลยังเน้นใช้หลักความมั่นคงนำเศรษฐกิจเหมือนเช่นที่ผ่านมา ย่อมกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน จนทำให้เศรษฐกิจชะงักและกำลังซื้อหดตัวอีกรอบ แน่นอนว่าธุรกิจรับสร้างบ้านคงไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบดังกล่าวได้ 

นอกจากนี้บรรดาผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างต่างเตรียมพาเหรดปรับขึ้นราคาในปี 2565 นี้ และจะกลายเป็นอีกหนึ่งปัญหาหนักใจของฝ่ายผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน โดยเฉพาะรายที่เน้นแข่งขันราคาต่ำหรือตัดราคา ซึ่งตกลงหรือทำสัญญารับจ้างกับลูกค้าตามต้นทุนวัสดุราคาเดิมไว้ จึงต้องแบกรับต้นทุนวัสดุที่ปรับตัวสูงขึ้นเอาไว้เอง อาจประสบปัญหาขาดทุนหนัก หรือดำเนินกิจการต่อไปอย่างลำบาก    

ทั้งนี้ฝ่ายพัฒนาธุรกิจรับสร้างบ้าน ประเมินปัจจัยบวกและลบที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในปี 2565 แล้ว คาดว่าภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านจะมีโอกาสกลับมาขยายตัวหรือชะลอตัวได้พอๆ กัน ดังนั้นบริษัทฯ จึงเตรียมแผนทั้งรุก-รับเอาไว้และพร้อมปรับตัวตามสถานการณ์ให้ทัน อาทิเช่น การขยายสาขาและพื้นที่ให้บริการต่างจังหวัดเพื่อรองรับกำลังซื้อที่จะขยายตัว หรือการปรับโครงสร้างองค์กรให้กระทัดรัด โดยนำซอฟแวร์และระบบปฏิบัติงานบนแอพพลิเคชั่น มาใช้ในการจัดการงานหลังบ้านหรือแบ็คออฟฟิต อันเป็นการลดต้นทุนค่าดำเนินงานและค่าใช้จ่าย สามารถรับมือกับเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัว รวมทั้งเป็นการหลีกเลี่ยงสงครามราคา ฯลฯ เป็นต้น

“สำหรับ ปี 2565 นี้ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ตั้งเป้ายอดขายบ้านรวมทุกสาขาไว้ 1,000 ล้านบาทเศษ ถึงแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจและมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านจะไม่ฟื้นตัว แต่ยังมั่นใจว่าแผนรุก-รับที่เตรียมไว้จะสามารถแชร์ส่วนแบ่งตลาดที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯ จากคู่แข่งได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังรุกขยายรับงานอินทีเรียหรือตกแต่งภายในอย่างจริงจังมากขึ้น พร้อมกับตั้งเป้ารับรู้รายได้รวมงานอินทีเรียไว้อีก 90-100 ล้านบาท” นายสิทธิพร กล่าว

นายสิทธิพร กล่าวต่อว่า ความเชื่อถือและความไว้วางใจที่ผู้บริโภคมีต่อผู้ประกอบการรับสร้างบ้านถือเป็นปัจจัยที่สำคัญ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมาจากผู้ประกอบการที่มีการจัดการธุรกิจอย่างมืออาชีพ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า การมีจุดยืนทางธุรกิจ ผลงานในปัจจุบันและที่ผ่านมา โดยเฉพาะการมีจุดยืนทางธุรกิจนั้น ก็เพื่อสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ และองค์กรหรือแบรนด์จะได้มีความชัดเจนในสายตาของผู้บริโภค รวมถึงแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมภิบาล ตัวอย่างเช่น การปฏิบัติต่อลูกจ้างอย่างถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน การประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายและภาษีการคืนกำไรให้สังคม การคำนึงถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และไม่เอาเปรียบสังคม ฯลฯ 

นอกจากนี้แล้ว ผู้ประกอบการจะต้องพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปพร้อม ๆ กัน เช่น นำเทคโนโลยีการก่อสร้างสำเร็จรูปมาใช้มากขึ้นเพื่อทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน ฯลฯ และหลีกหนีออกจากโซนการแข่งขันเรดโอเชียน อันเป็นการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานธุรกิจรับสร้างบ้านของตัวเองในมุมมองของผู้บริโภคให้แตกต่างจากผู้รับเหมารายย่อยทั่วไปอย่างชัดเจน 

สำหรับภาพรวมการแข่งขันของธุรกิจรับสร้างบ้านปีนี้ เชื่อว่าไม่รุนแรงเท่าปีที่ผ่านมา เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่กังวลกับปัญหาต้นทุนก่อสร้างที่ผันผวนและเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มที่ต้องการใช้บริการรับสร้างบ้านมืออาชีพ ส่วนใหญ่จะพิจารณาและให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพการก่อสร้าง ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ และความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการมากกว่าราคาที่แตกต่างกันแค่ 5-10%