สู้ไม่หวั่นโควิด… “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ฯ” เปิดแผนลุยตลาดอสังหาฯ ปี 64 วางกลยุทธ์ปล่อยหมัดเด็ด 24 โครงการ พิชิตตลาดที่อยู่อาศัย

นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) หรือ FPT เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจปี 2564 ว่า คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตกว่าปี 2563 โดยในปีนี้ สถานการณ์ที่ส่งผลอย่างหนักคือเรื่องของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งก็มีผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน ทำให้ตลาดมีการแข่งขันสูง ซึ่งก็เชื่อว่าในปี 2564 ก็คงมีการแข่งขันกันเพื่อช่วงชิงลูกค้ากันอยู่ รวมถึงยังเน้นอัดโปรโมชั่นกันอย่างดุเดือดเพราะทุกบริษัทผู้ประกอบการ ต่างต้องการรักษาการเติบโตที่ต่อเนื่อง แต่ในสถานการณ์แย่อยู่นั้น ก็มีเรื่องดีอย่างดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำ ก็จะมาเป็นตัวช่วยส่งเสริมความต้องการซื้อได้ แต่ปัญกาในเรื่องหนี้ครัวเรือนยังคงมีสูงและยังมีความน่าเป็นห่วงอยู่ รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ยังทำให้เกิดความไม่แน่นอน อาจทำให้เกิดการชะลอตัวลงได้เช่นกัน

“ในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ผู้ประกอบการเองต้องบริหารเงินให้ดี วางแผนการพัฒนาลงทุนให้มีความรอบคอบและแม่นยำ ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การทำการตลาด รวมถึงต้องปรับตัวให้ทันกับทุกสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ พูดได้ว่าเป็นยุคของมืออาชีพอย่างแท้จริง” นายแสนผิน กล่าว

ทั้งนี้สำหรับแผนธุรกิจของบริษัทจากนี้ ก็ยังคงเดินตามวางนโยบายตามพันธกิจ ที่จะก้าวขึ้นเป็นอันดับ 3 ด้านรายได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า (2564-2566) ให้ได้กว่า 20,000 ล้านบาท โดยมี 4 พันธกิจ ที่ตั้งเป้าไว้ เริ่มที่พันธกิจแรก คือการก้าวขึ้นเป็นอันดับ 3 ของผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในด้านของรายได้ พันธกิจที่ 2 เป็นทางเลือกอันดับ 1 ในใจลูกค้าสำหรับ คนที่มองหาทาวน์โฮม กับทำเลในเมือง 

พันธกิจที่ 3 เป็นอันดับที่ 1 ในการทำบ้านแฝด (นีโอ โฮม) และพันธกิจที่ 4 คือการขยายตลาดต่างจังหวัด และเป็นผู้นำตลาดต่างจังหวัด ในด้านยอดขายสูงสุด อาทิเช่น ที่จังหวัดนครราชสีมา เชียงใหม่ เชียงราย และพัทยา สามารถสร้างยอดขายในวันเปิดจองได้สูงเกินกว่า 500 ล้านบาท 

นายแสนผิน กล่าวต่อว่า ในส่วนของแผนธุรกิจปี 2564 บริษัทได้ตั้งเป้าการสร้างรายได้ไว้ที่ 16,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยสัดส่วนรายได้ในปี 2564 จะมาจากทาวน์โฮม 42% (ปี 2563 สัดส่วนอยู่ที่ 50%) นีโอโฮม บ้านแฝด 23% (เดิมอยู่ที่ 15%)  บ้านเดี่ยว 21% (เดิมอยู่ที่ 22%) และโครงการต่างจังหวัด 14% (เดิม 13%) 

นอกจากนี้ในส่วนของแผนซื้อที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการในปี 2564 บริษัทมีแผนซื้อที่ดิน 20 แปลง งบประมาณรวม10,720 ล้านบาท เพื่อรองรับการเปิดใหม่ในปี 2564 จำนวน 24 โครงการ มูลค่ารวม 29,800 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการทาวน์โฮม 9 โครงการ มูลค่า 9,700 ล้านบาท โครงการนีโอ โฮม บ้านแฝด 5โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาทโครงการบ้านเดี่ยว 7โครงการ มูลค่า 11,000 ล้านบาท และโครงการต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 2,100 ล้านบาท 

นายแสนผิน กล่าวว่า กลยุทธ์พิชิตเป้าหมายในปี 2564 นั้น บริษัทเดินเกมโดยแยกตามแบรนด์ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทจะเข้าไปทำตลาด ได้แก่ แบรนด์ทาวน์โฮม ไปในทำเลใหม่ เติมโครงการในทำเลเดิม และรักษาคุณภาพการก่อสร้างให้มีคุณภาพ

อย่างเช่น แบรนด์นีโอ โฮม เป็นบ้านแฝด ที่เน้นทำเลใกล้เมือง ราคาไม่แพง แบรนด์บ้านเดี่ยว ก็จะเน้นออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เหมาะกับที่ดินที่ราคาแพงขึ้น ให้รับกับ Life Style & Socio-Economic Status-SES และ Brand หรือชื่อโครงการให้เป็นที่รู้จัก 

นอกจากนี้ในส่วนผลิตภัณฑ์ที่เจาะตลาดต่างจังหวัด ก็เน้นทำเลที่ดีกว่าคู่แข่งทั้งในด้านตลาด สู่การเป็นผู้นำทำเลเมืองสำหรับโครงการต่างจังหวัด อีกทั้งยังจะพัฒนาออกแบบผลิตถภัณฑ์ใหม่ๆ ให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทุกระดับความต้องการของลูกค้าอีกด้วย

รวมถึงบริษัทยังมีแผนที่จะรุกตลาดในกลุ่มคอนโดมิเนียม ที่หลายผู้ประกอบการมองว่าเป็นตลาดที่น่าเป็นห่วง และชะลอการพัฒนาลง เน้นเคลียร์ขายสต็อกเก่าที่มีอยู่ในมือ แต่บริษัทเองกับมองสวนทาง เพราะเล็งเห็นว่าเป็นโอกาส ซึ่งยังมีให้กลุ่มตลาดที่มีช่องว่างอยู่ หากพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงจุด ในเรื่องของทำเล ราคา 

อย่างไรก็ตามในส่วนของผลดำเนินงานของบริษัท (ม.ค.-ก.ย.ปี 2563) มียอดรับรู้รายได้ 10,894 ล้านบาท โดยคาดว่ายอดรับรู้รายได้ในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 14,504 ล้านบาท ลดลงจากเป้าประมาณ 5% 

ในขณะที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ติดลบที่ 40% ทั้งนี้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทก็จะลุยเปิด 3 โครงการใหม่เพิ่ม มูลค่ารวม 3,050 ล้านบาท