- ย้ำกรณีดังกล่าวมีผลกระทบระยะสั้นๆ
- สินค้าส่งออกไปเมืองต้นกำเนิดโรคไม่มากนัก
- เผยดัชนีเอ็มพีไอปี62 ลดลง3.7%
นายทองชัย ชวลิตเชษฐ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) เปิดเผยว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(เอ็มพีไอ) เดือนธ.ค.ที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 99.02 ลดลง 4.35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี2561ท่ีอยู่ที่ระดับ 103.52 แต่ถือว่าปรับตัวดีขึ้น 2.13% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.2562 ที่ลดลง จากช่วงเดียวกันของปี2561เฉลี่ย 8.09% หรืออยู่ที่ระดับ 96.95 ขณะที่ อัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ระดับ 63.96% จากเดือนพ.ย.2562 ที่อยู่ที่ระดับ63.29% ส่วนภาพรวมเอ็มพีไอปีท่ีผ่านมา ลดลง3.7% อัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 66%
ทำให้สศอ.ยังไม่มีความจำเป็นต้องปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวม(จีดีพี) ภาคอุตสาหกรรมปี นี้ ที่คาดจะขยายตัว 1.5-2.5% และเอ็มพีไอคาดว่า ขยายตัว 2-3%”
ทั้งนี้ สศอ.มองแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมในเดือนก.พ. ที่อาจจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง เห็นได้จากแนวโน้มเอ็มพีไอเดือนธ.ค.2562 ที่ลดลงเพียงเล็กน้อยจากเดือนพ.ย.2562 เพราะการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมไม่รวมทองคำเริ่มกลับมาขยายตัวได้ 0.2% หลังจากติดลบต่อเนื่อง การนำเข้าสินค้าทุนขยายตัว 0.3% ตัวเลขการลงทุนในการประกอบกิจการโรงงานปีท่ีผ่านมา มีมูลค่า 480,000 ล้านบาท ประกอบกับจีนและสหรัฐฯสามารถบรรลุยุติข้อตกลงทางการค้าร่วมกันได้ ทำให้เชื่อว่าสถานการณ์สงครามการค้าระหว่าง ทั้งสองประเทศมีทิศทางผ่อนคลายลงเป็นผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกและประเทศไทยด้วย
สำหรับความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัสโคโรนาในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ขณะนี้สศอ. อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรม ที่ส่งออกไปยังประเทศจีน โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองอู่ฮั่นที่เป็นต้นตอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา จากการประเมินคาดว่าสินค้าอุตสาหกรรมของไทย ที่ส่งออกไปเมืองอู่ฮั่นมีปริมาณไม่มากนัก จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม หรืออาจส่งผลกระทบในวงจำกัดต่อบางอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปเมืองอู่ฮั่นเพียงระยะสั้น ๆ เพราะเชื่อว่าจีนจะควบคุมสถานการณ์ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
“ขณะที่การส่งออกสินค้าไปยังพื้นที่อื่นๆ ในประเทศจีน สินค้าของไทย ก็ยังสามารถดำเนินการได้ สินค้าที่ไทยผลิตเพื่อส่งออกไปยังเมืองอู่ฮั่น มีเพียงไม่กี่รายการ เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบรายละเอียดว่ามีกี่รายและมีจำนวนมากหรือน้อยเท่าไหร่ ท่ีผู้ประเกอบการไทยไทยจะได้รับผลกระทบ “
