“สมคิด”ยุ”สภาพัฒน์”โวยดังๆในครม.กระทรวงไหนงานไม่คืบ

  • สั่งจัดลำดับความสำคัญโครงการลงทุนเข้า ครม.เศรษฐกิจ
  • ย้ำ สศช.ต้องเป็นหลักให้ประเทศ
  • “ทศพร” เผยปี 2563 –2565 ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 1.025 ล้านล้าน

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในระหว่างการตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่ผู้บริหารสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.หรือสภาพัฒน์) ว่า ได้สั่งการให้สภาพัฒน์จัดลำดับความสำคัญของโครงการลงทุนในปี 2563 เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ(ครม.เศรษฐกิจ)ในช่วงต้นเดือน ม.ค.ปี 2563 เพื่อเป็นแนวทางให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม สั่งการให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งรัดปฏิบัติ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2563 จะได้เห็นเลยว่า มีโครงการใด ที่กระทรวงไหนไม่ทำ จะต้องกล้าพูด เวลาอยู่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นโครงการอะไรที่สำคัญ ต้องรีบทำ ก็ให้บอกดังๆ

“เราต้องไม่ลืมหน้าที่ของสภาพัฒน์คืออะไร มีหน้าที่วางพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศ สภาพัฒน์ไม่ได้มีหน้าที่แค่บอกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีกี่เปอร์เซ็นต์ ต้องบอกว่าบ้านเมืองจะไปทางไหน ด้วยวิธีอะไรและต้องหากลไกที่ทำให้เป็นไปได้ เรามาสู่ยุคการเมืองเป็นการเมืองแล้ว หากเราคุมไม่ได้ งานก็เดินไม่ได้ ตอนนี้มีแผนยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ก็มีแล้ว ปัญหาคือจะทำอย่างไรสิ่งที่เขียนออกมาเป็นจริง คือ ต้องเป็นหลักให้รัฐบาลให้เสนอมาเลยว่าเรื่องใดต้องทำก่อนหลัง สภาพัฒน์ต้องเป็นเหมือนกระดูกสันหลัง ยืนเป็นหลักของประเทศ และเป็นหลักให้รัฐบาลพึ่งพิงได้ด้วย รวมทั้งให้สภาพัฒน์ขับเคลื่อนให้เกิดการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนหรือกรอ.ด้วย”

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องการให้สภาพัฒน์ทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น โดยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.) สานต่อการพัฒนาในด้านสังคม การพัฒนาท่องเที่ยว การพัฒนาบุคลากรในพื้นที่ และการดูแลสิ่งแวดล้อมของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ชาวบ้านในพื้นที่จะได้เห็นว่าตัวเองได้รับประโยชน์อะไร ส่วนการพัฒนาพื้นที่พิเศษอื่นๆ ให้เสนอรัฐบาลตั้งคณะกรรมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ขึ้นมาดูแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ซึ่ง ครม.อนุมัติโครงการมาปีกว่าแล้วยังไม่คืบหน้าเลย จะได้รู้ว่าหน่วยงานไหนที่เกี่ยวข้องไม่ทำงาน รวมทั้งจะได้ส่งเสริมพื้นที่พิเศษอื่นๆในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่สำคัญต้องเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกที่กำลังได้รับความสนใจจากหลายประเทศ

นายสมคิด กล่าวด้วยว่า สศช.ควรทำงานร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) คิดแพคเกจที่จะแก้ปัญหาความยากจน ลดภาระหนี้สิน และร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในการคิดแพคเกจส่งเสริมการลงทุนแบบใหม่ให้ครบวงจร เพื่อสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจใหม่ๆโดยเป็นการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอย่างครบวงจร เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ตลอกจนให้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ช่วยเหลือและพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี แก้ไขปัญหาหนี้ การเสริมสร้างความเข้มแข็ง และดึงคนคนรุ่นใหม่มาช่วยเสนอแผนงานแก้ไขปัญหาของเอสเอ็มอีมากขึ้น ตลอดจน ทำแผนเชิงรุกร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษาและการวิจัย (อว.)การวางแผนพัฒนาคน

ด้านนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า การขับเคลื่อนการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในช่วงปี 2563 – 2565 เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน มีวงเงินรวมกว่า 1.025 ล้านล้านบาท โดยในปี 2563 มีกรอบในการลงทุนกว่า 244,078 ล้านบาท แบ่งเป็นวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการวงเงิน 215,300 ล้านบาท โครงการที่ผ่านการอนุมัติจาก สศช.แล้วและอยู่ระหว่างการเสนอ ครม. วงเงินเบิกจ่าย 16,613 ล้านบาท และโครงการที่คาดว่าจะเสนอ ครม.ในปี 2563 วงเงินเบิกจ่าย 12,165 ล้านบาท ส่วนในปี 2564 มีกรอบลงทุน 378,714 ล้านบาท และปี 2565 ที่ 402,543 ล้านบาท ทั้งนี้