

- จัดทัพกองทุนหมู่บ้านฯ อุ้มรากหญ้า
- นำร่อง2หมู่บ้าน “ข้าวสารแลกอาหารทะเล”
- ดึงธกส.-ออมสิน-เอกชน พัฒนาชุมชน
นายรักษ์พงษ์ เซ่งเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) เปิดเผยว่า สทบ.ได้ดำเนินนโยบายตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มอบหมาย โดย สทบ.จะใช้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่มีอยู่ประมาณ 79,000 หมู่บ้านและมีสมาชิกมากว่า 12.9 ล้านคนทั่วประเทศ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากเพื่อลดผล กระทบจากไวรัส โควิด-19 ซึ่งประเมินแล้ว การแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจจะใช้เวลานานถึง 1 ปี สถานการณ์ถึงจะเข้าสู่ภาวะปกติ ดังนั้น ในช่วงระหว่างนี้ สทบ.จะต้องเร่งสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กองทุนหมู่บ้าน ซึ่งก็คือ เศรษฐกิจฐานราก หรือ Local Economy ให้กับชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศไทย โดยหมู่บ้านที่เป็นที่สมาชิกซื้อขายสินค้าระหว่างกันด้วยวิธี Barter Trade (บาร์เตอร์เทรด) หรือการค้าต่างตอบแทน หมายถึงการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน โดยไม่มีการชำระเงินค่าสินค้าให้แก่กัน

“เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รุนแรงกว่า วิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี2540 ซึ่งเป็นการล้มสลายของเศรษฐกิจฟองสบู่ ซึ่งในช่วงนั้น คนที่ได้รับผลกระทบคือ คนรวยและเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ในรอบนี้ วิกฤติของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อประชาชนระดับรากหญ้ามากที่สุด เพราะประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ และผู้ที่ใช้แรงานในเมืองได้รับกระทบจากการปิดเมือง จึงมีแรงงานที่ทำงานในเมืองกลับไปใช้ชีวิตในชนบท”
ดังนั้น สทบ.ต้องปรับเปลี่ยนบทบาทตัวเอง จากเดิมทำหน้าที่เหมือนนายธนาคารกล่าวคือ ปล่อยเงินกู้ให้แก่สมาชิกเพื่อนำเงินกู้ไปซื้ออุปกรณ์การค้าขาย หรือประกอบอาชีพ แต่ในสภาพปัจจุบันกองทุนหมู่บ้านหลายแห่ง โดยเฉพาะเกรด A B และC ซึ่งมีอยู่ประมาณ 75,000 หมู่บ้านนั้น มีสภาพคล่องสูงขึ้นและมีบางแห่งได้ยกระดับขึ้นเป็นสถาบันการเงินชุมชน ซึ่งเกิดการรวมตัวของหลายๆ หมู่บ้านที่อยู่ใกล้กันหรือเครือข่ายเดียวกัน โดยมีเงินทุนมาจากเงินฝากของสมาชิก เงินกู้จากธนา คารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสินรวมถึงการชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ย เป็นต้น
นายรักษ์พงษ์ กล่าวว่า ในอนาคตกองทุนหมู่บ้านฯ ต้องเป็นต้นแบบการเรียนรู้ การส่งเสริมอาชีพรวมถึงการพัฒนาอาชีพให้แก่สมาชิก โดยนำสินค้าที่ดีของหมู่บ้าน หรือสินค้าที่ดีของหลายๆ หมู่บ้านที่อยู่ติดกันพัฒนาและเชื่อมโยงกันเป็นสินค้าของชุมชน เช่น หมู่บ้านผลิตผ้าไหมสำเร็จรูป รับซื้อเส้นไหมจากหมู่บ้านใกล้ๆ กัน เป็นต้น ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุทาน เหมือนกับโครงการสร้างการผลิตของภาคอุตสาหกรรมที่มีอุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ โดยชุมชนได้รับการสนับสนุนและเชื่อโยงด้านการตลาดกับภาคเอกชน เช่น ร้านสะดวกซื้อและไฮเปอร์มาเก็ต เช่น บิ๊กซี โลตัส เป็นต้น
“เศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นเศรษฐกิจขนาดเล็กที่สุดของประเทศจะต้องเชื่อมโยงกันและมีการซื้อขายกันภายในประเทศจาก เครือข่ายที่อยู่ 79,000 หมู่บ้าน 12.9 ล้านคน เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจในช่วงนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งล่า สุด สทบ.ได้จัดให้มีการแลกเปลี่ยนสินค้า “ข้าวสารท้องคุ้งและอาหารทะเลท้องคุ้ง” ระหว่างกองทุนหมู่บ้านท้องคุ้ง ม.4 ต.ปากจั่น อ.นครหลวง จ.อยุธยา และ กองทุนหมู่บ้านท้องคุ้ง ม.6 ต.กาหลง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เป็นหนังตัวอย่างเพื่อให้กองทุนหมู่บ้านฯ นำไปแนวคิดที่จะมีการแลกเปลี่ยนสินค้าต่อไป”
ส่วนพระราชกำหนด (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้ มีวงเงิน 400,000 ล้านบาท ที่นำไปใช้ในเรื่องฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากนั้น สทบ.จะของบก้อนนี้ ประมาณ 40,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ตามแนวทางใหม่กองทุนหมู่บ้านฯ .